url
stringlengths 30
33
| date
stringlengths 16
16
| title
stringlengths 2
170
| body_text
stringlengths 500
210k
| labels
stringlengths 2
867
|
---|---|---|---|---|
https://prachatai.com/print/451 | 2004-09-23 20:16 | ซื้อมะละกอพื้นเมืองไม่เสี่ยงจีเอ็มโอ | ประชาไท - 23 ก.ย.47 กลุ่มองค์กรผู้บริโภคออกแถลงการณ์แนะผู้บริโภคซื้อมะละกอพันธุ์พื้นเมืองจนกว่าจะเสร็จสิ้นการตรวจสอบ พร้อมเรียกร้องหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคร่วมแก้ปัญหาจีเอ็มโอ
"มะละกอจีเอ็มโอที่ปนเปื้อนออกไปในพื้นที่ต่างๆ ยังไม่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางชีวภาพ จึงยังไม่มีใครกล้ารับรองว่าปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ยกเว้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่สำคัญผู้บริโภคไม่มีโอกาสเลือกว่ากองไหน ร้านไหน ห้างไหนไม่มีจีเอ็มโอ" นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคกล่าว
เลขาธิการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคเสนอว่า ผู้บริโภคควรบริโภคมะละกอพันธุ์พื้นเมืองอื่นๆ ที่ยังไม่เสี่ยงกับการปนเปื้อนของจีเอ็มโอ เช่น พันธุ์นมยาน โกโก้ หรือมะละกอที่ปลูกภายในสวนของตนเองและมั่นใจในแหล่งที่มาของเมล็ดพันธุ์
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยังเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เข้ามาร่วมกันหาทางออกให้ผู้บริโภคในเรื่องจีเอ็มโอ เพราะมาตรการการติดฉลากที่มีอยู่ ซึ่งมีข้อจำกัดมากมายและครอบคลุมเฉพาะถั่วเหลือและข้าวโพด ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา
นอกจากนี้เลขาธิการสหพันธ์ฯ ยังยืนยันว่าจะรีบแจ้งผลตรวจสอบมะละกอที่สุ่มตรวจจากห้างสรรพสินค้าแก่สาธารณชนทันทีที่ทราบผลจากห้องปฏิบัติการ
ในส่วนของการเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบนั้น น.ส.สารีกล่าวว่า กลุ่มองค์กรผู้บริโภคและพันธมิตรยินดีร่วมมือกับรัฐบาล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากภาครัฐแต่อยากใด จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเรื่องนี้ตามที่รมว.เกษตรและ สหกรณ์เคยกล่าวไว้ด้วย
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/452 | 2004-09-23 20:19 | มะละกอจีเอ็มโอ "ปนเปื้อน" หรือ "ปะปน" ? | ถึงวันนี้คงพอกล่าวได้ว่าเรื่องของ "มะละกอจีเอ็มโอ" ได้หลุดออกจากมือ "ผู้เชี่ยวชาญ" อย่างเป็นทางการแล้ว และกลายเป็นประเด็นถกเถียงสาธารณะที่เถียงกันในทุกแง่ทุกมุม ทั้งวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ ไล่ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ในห้องแลบยันแม่ค้าขายส้มตำหน้าปากซอย
แนวคิดที่เป็น "คู่แย้ง" เด่น เห็นจะหนีไม่พ้นหลักคิดแบบวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ กับแนวคิดเชิงสังคมวัฒนธรรม ซึ่งหากติดตามข่าวเป็นระยะๆ ก็จะเห็นข้อขัดแย้งมากมาย
วิวาทะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ เรื่องของ "ภาษา" ซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมองข้าม เพราะ(หลายคน) เชื่อว่าภาษามีอำนาจในการชี้นำและครอบงำความคิดความเชื่อของผู้คนได้
คำหนึ่งที่มีปัญหามากคือคำว่า "contaminated" ซึ่งเมื่อแปลเป็นไทยแล้วปรากฏเป็น 2 คำที่ใช้อยู่โดยคน 2 กลุ่มหลักๆ คือคำว่า "ปะปน" โดยนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ กับคำว่า "ปนเปื้อน" โดยฝ่ายคัดค้านจีเอ็มโอ นับความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของภาษาไทยที่ทำให้มันมีรุนแรงและความไม่ชอบมาพากลในระดับที่แตกต่างกัน
นักวิจัยและเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่อาจรับกับคำว่า "ปนเปื้อน" ได้ เพราะมะละกอจีเอ็มโอไม่ใช่สารพิษ หรือของที่มีอันตราย ตรงกันข้ามมันเป็นสิ่งที่สะอาด และบริสุทธิ์ยิ่งกว่าพืชที่เป็น Non-GMOs ซึ่งหลายชนิดใช้สารเคมีในระดับสูง การหลุดรอดจากแปลงทดลอง จึงเป็นความผิดพลาดที่ปล่อยให้มีการไป "ปะปน" กับมะละกอปกติในแปลงทั่วไป
ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านจีเอ็มโอ ก็ยืนยันหนักแน่นว่ามะละกอจีเอ็มโอที่หลุดออกไป เป็นการไป "ปนเปื้อน" กับสภาพธรรมชาติ เพราะมะละกอจีเอ็มโอดังกล่าวยังไม่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทุกๆ ด้าน และเป็นประเด็นถกเถียงที่ยังไม่สิ้นสุดในแวดวงวิทยาศาสตร์ระดับโลก อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของกลุ่มบรรษัทต่างชาติเจ้าของเทคโนโลยี
เรื่องนี้สะท้อนชัดในเวทีการสัมมนาเรื่อง มุมมองการตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) ที่จัดโดยชมรมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เมื่อนักข่าวจากสำนักหนึ่งยกมือถามท่านอธิบดีกรมวิชาการเกษตรว่าด้วยเรื่องของการจัดการกับมะละกอจีเอ็มโอที่ "ปนเปื้อน" ไปในไร่นาของเกษตรกร
บรรพต ณ ป้อมเพชร ประธานกรรมการกลางความปลอดภัยทางชีวภาพ ของไบโอเทค ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการอยู่ข้างๆ ได้ฟังดังนั้น ก็สวนทันควันกลางเวทีประชุมว่า "ผมบอกแล้วว่ามันเป็นการปะปน ตกลงคุณจะเอายังไง จะปนเปื้อนหรือปะปน เอาให้แน่ ว่ากันมาให้ชัด"
ดีที่ "ประเด็น" นี้เป็น "ประเด็น" ขึ้นมาโดยไม่ได้เบี่ยงเบน "ประเด็น" เก่า ไม่เช่นนั้นคง "เป็นประเด็น" อีกแน่ๆ .
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/453 | 2004-09-23 20:41 | นักกม.ฟันธงสมัครกสช.ใหม่ไม่รอนสิทธิคนเก่า | ประชาไทย-23 ก.ย.47 " กรรมการสรรหาฯ เองมีหน้าที่หาคนที่มีคุณสมบัติเพื่อบรรลุประโยชน์ของสาธารณะ และเหมาะสมที่สุดเข้าไปเป็น กสช. ดังนั้นควรมองที่ประโยชน์สาธารณะในการเลือกคนที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดในการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้มากกว่า" ผศ.บรรเจิด สิงคะเนติ นักวิชาการกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว
วันนี้(23ก.ย.) คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงกรณีคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) มีมติไม่เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าคัดเลือกกสช.เพิ่มเติม หลังจากศาลสูงสุดพิพากษายกเลิกมติการสรรหาครั้งก่อน เพราะเกิดกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้สมัครกับกรรมการสรรหา
ผศ.บรรเจิดกล่าวว่า เจตนารมณ์หลักของกฎหมายมหาชน เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามหลักกฎหมายแล้วผู้สมัครมีสิทธิสมัครได้เลย และการเปิดรับสมัครใหม่เป็นการเปิดกว้างทำให้มีตัวเลือกอย่างเหมาะสม ไม่ใช่การริดรอนสิทธิของผู้สมัครเดิม
นายอนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กรรมการสรรหากสช.ชุดใหม่ กล่าวว่าควรเปิดโอกาสให้มีผู้สมัครเพิ่มจากเดิมเพราะผ่านมา 4 ปีหลายคนขาดคุณสมบัติ บางส่วนไปทำหน้าที่อื่นแล้ว
นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้กรรมการสรรหาฯ ลาออกทั้งชุดเพื่อความสง่างาม เพราะไม่ติดขัดด้านกฎหมาย และควรคำนึงประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าการรอนสิทธิผู้สมัครเดิม
นายสมพร เทพสิทธา ประธานกรรมการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) กล่าวว่า ถ้าเปิดรับสมัครจะส่งผลกระทบต่อผู้สมัครเดิมเป็นการละเมิดสิทธิผู้ที่ได้รับพิจารณาจากครั้งที่แล้ว พร้อมทั้งยอมรับว่าการเปิดรับสมัครจะทำให้มีทางเลือกมากขึ้น แต่กระบวนการสรรหาเดิมยังไม่ยกเลิก จึงไม่มีใครรับรองได้ว่าหากรับสมัครเพิ่มจะไม่ผิดกฎหมาย
ด้านนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ทางกมธ.จะเชิญปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงต่อไป ก่อนลงมติสรุปผลโดยจะมีการแถลงให้ทราบภายหลัง
ศิริรัตน์ อนันต์รัตน์,ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัยประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/455 | 2004-09-24 20:38 | สรุปคนใต้ทำสมาร์ทการ์ดกว่า 80% | กรุงเทพฯ-24 ก.ย.47 นายสุจริต ปัจฉิมนันท์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวถึงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์หรือบัตรสมาร์ทการ์ดให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีคนมาทำบัตรไปแล้วทั้งสิ้น 885,000 คน จากทั้งหมด 1,138,000 คน คิดเป็น 77.76%
อย่างไรก็ดีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้ขอเลื่อนการส่งบัตรออกไปเป็น วันที่ 15 ต.ค. จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ต.ค. 47 ทำให้กรมการปกครองสามารถส่งมอบบัตรให้กับจังหวัดได้ประมาณต้นเดือน ม.ค. 48
อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า หลังจาก 3 จังหวัดภาคใต้แล้ว กรมฯ จะดำเนินการต่อไปในเขตกรุงเทพฯ และ 9 จังหวัดนำร่อง รวมถึง จ.สงขลา จ.สตูล และ จ.พัทลุง โดยคาดว่า จะมียอดการทำบัตรสมาร์ทการ์ดรวม 20 ล้านใบ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/457 | 2004-09-24 20:44 | กรุงเทพฯ ติดอันดับ 4 เมืองน่าเที่ยวโลก | กรุงเทพฯ-24 ก.ย.47 นิตยสารแทรเวล แอนด์ เรสเชอร์ (TRAVEL & LEISURE) ของสหรัฐอเมริกา นิตยสารท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ตัดสินให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชีย และเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ในปี 2547ร องจากซิดนีย์ โรมและฟลอเรนซ์
ทั้งนี้กรุงเทพฯ ได้รับรางวัล ในด้านศิลปวัฒนธรรม ความยิ้มแย้มแจ่มใส และสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และรับเลือกให้เป็นเมืองที่คุ้มค่าเงินในการท่องเที่ยว นอกจากนี้ โรงแรมหลายแห่งในกรุงเทพฯ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของเอเชียด้วย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/454 | 2004-09-24 19:47 | จดหมายแสดงความห่วงใยต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องเอดส์ของสังคมไทย | ตามที่หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นและคมชัดลึก ได้ลงข่าวเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยเนื้อข่าวมีการพูดถึงพฤติกรรมการแพร่เชื้อว่า เป็นการพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อชุมชนไทย และมีความเห็นจากผู้อ่านเสนอให้มีมาตรการในการควบคุมชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เช่น การตรวจเลือด หรือการแสดงสถานะภาพการติดเชื้อของตนเองทุกครั้งก่อนเข้าประเทศ หรือทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์
ในฐานะของคนทำงานเอดส์มองว่าการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับ หรือการที่ส่งผู้สื่อข่าวออกไปค้นหาว่าชาวต่างชาติผู้นั้นไปมีเพศสัมพันธ์กับใครบ้าง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้เป็นผลดีต่อผู้ใด นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวเท่านั้น
จากการนำเสนอข่าวที่ผ่านมาเป็นการเสนอข่าวที่ยังไม่รอบด้าน และอาจทำให้คนในสังคมแตกตื่น กลัว หรือเข้าใจผิดว่าคนต่างชาติคือคนที่นำเอดส์มาแพร่กระจายในเมืองไทย ซึ่งโดยความจริงแล้วการติดเชื้อเอดส์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ก็เป็นพฤติกรรมที่คนไทยหลาย ๆ คนกระทำอยู่ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็สามารถแพร่เชื้อ หรือรับเชื้อเอชไอวีจากคู่นอนได้ ดังนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าใครที่เป็นคนแพร่เชื้อ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า "คนยังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน" และทำให้คนเหล่านั้นมีโอกาสที่จะติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อได้
ฉะนั้นในกรณีนี้การแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การออกมาตรวจจับ หรือไปไล่ค้นหาว่าใครบ้างที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ถูกสงสัยว่าติดเชื้อ การกระทำเหล่านี้การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และยังเป็นการกีดกันแบ่งแยกและเป็นการเลือกปฏิบัติ เป็นการซ้ำเติมปัญหาให้ยากยิ่งขึ้นในการอยู่ร่วมกันของผู้ติดเชื้อกับชุมชน สังคม ต่อปัญหานี้เรามีข้อเสนอแนะว่า
1. จากข่าวนี้ทำให้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานเอดส์ ต้องมีการรณรงค์กับคนในสังคมให้มากขึ้นในเรื่องการป้องกันและดูแลตนเองจากการรับเชื้อเอชไอวี
2. รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีถุงยางอนามัยแจกแก่ประชาชนอย่างเพียงพอ และทั่วถึง
3. รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้คนใช้ถุงยางอนามัย โดยการทำให้ราคาถุงยางอนามัยถูกลงกว่าที่มีขายอยู่ในท้องตลาด ณ ปัจจุบันนี้
4. รัฐบาล รวมทั้งครอบครัวต้องส่งเสริมและเข้าใจ ที่จะเปิดกว้างในการสื่อสารเรื่องเพศศึกษากับเยาวชน โดยการเคารพว่าเยาวชนมีความสามารถในการตัดสินใจได้เอง ถ้าเขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน
ดังนั้นสื่อมวลชนควรทำความเข้าใจกับเนื้อหาของข่าว และต้องคิดถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำเสนอข่าวที่ไม่รอบด้าน หรือที่ขาดข้อเท็จจริง และสื่อควรจะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา โดยมีบทบาทในการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นการให้การศึกษากับประชาชนในอีกทางหนึ่ง
นิมิตร์ เทียนอุดม
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/459 | 2004-09-24 20:47 | ประชุมสาธารณสุขร่วมไทย-มาเลย์ | เชียงใหม่ - 24 ก.ย.47 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา เป็นเจ้าภาพจัดงาน "Thailand-Malaysia Border Health Committee Meeting 2004" ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันในการแก้ปัญหาสาธารสุขระหว่าง 4 จังหวัดชายแดนของไทยและ 4 รัฐของมาเลเซีย คือ เปรัค เปอร์ลิส เคดาห์ และกลันตัน ตามการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง 2 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2540 และผลัดเปลี่ยนกันเป็นจ้าภาพจัดประชุม
การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารสาธารณสุขของทั้ง 2 ประเทศเข้าร่วมกว่า 200 คน โดยประเทศไทยได้เสนอผลการดำเนินงานตามนโยบายเมืองไทยสุขภาพดี และโรคไข้หวัดนก พร้อมกับขอความร่วมมือมาเลเซียในการควบคุมโรคตามแนวชายแดน
ส่วนมาเลเซียได้นำเสนอการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการสื่อสารและจิตวิทยาบำบัดชุมชน และในที่ประชุมได้มีการนำเสนอข้อมูลและอภิปรายประเด็นปัญหาโรคติดต่อที่นำโดยแมลง โรคเอดส์ วัณโรค และการพัฒนากำลังคน เพื่อนำไปสู่การวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/456 | 2004-09-24 20:40 | "แม้ว" เล็งสินค้าเกษตรแลก " เครื่องบินรบ" | ประชาไท - 24 ก.ย. 47 ในการไปเยือนอิตาลีและสวีเดนอย่างเป็นทางการของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับนายเยอราน เพร์สซอน นายกรัฐมนตรีแห่งสวีเดน กรณีการแลกเปลี่ยนสินค้า เนื่องจากสวีเดนต้องการขายเครื่องบินรบ G ripen ซึ่งคล้ายกับเครื่องบิน F-16 ให้ไทย โดยไทยมีความเป็นไปได้ที่จะเจรจาแลกเปลี่ยนสินค้าแทนการใช้เงินสด เพราะเป็นห่วงดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งนี้นายวัฒนา เมืองสุข รมว.พาณิชย์ จะเป็นผู้หารือในรายละเอียดร่วมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสวีเดนต่อไป
"เครื่องบินนี้มีสมรรถนะเท่า F-16 แต่ทันสมัยกว่ามาก ซึ่งเราต้องดูว่าราคา การบริการหลังการขาย การบำรุงรักษาเป็นอย่างไร จะแลกกับสินค้าอะไรของไทย สรุปแล้วจะไม่ใช้เงิน ใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น ไก่ มันสำปะหลัง ยางพารา ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการหารือ" นายกรัฐมนตรีกล่าว
สำหรับเหตุผลในการซื้อเครื่องบินใหม่นั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมรบ ไม่ได้ต้องการเสริมแสนยานุภาพ เพราะพล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้รายงานให้ทราบว่า กองทัพอากาศมีความจำเป็นต้องปลดระวางเครื่องบิน เพราะเครื่องหมดสภาพ และได้พิจารณาเครื่องบินดังกล่าวของสวีเดนแล้ว ที่ผ่านมาช่วงวิกฤติเศรษฐกิจมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเอาเครื่องที่ทิ้งแล้วจากประเทศอื่นมาใช้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/458 | 2004-09-24 20:46 | ป.ตรีแห่สมัครอบต.มหาสารคาม 4 หมื่น | มหาสารคาม-24 ก.ย.47 ประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม เปิดเผยยอดผู้สมัครสอบบรรจุเจ้าพนักงานประจำองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ในจังหวัดมหาสารคาม ระดับ 1- 3 จำนวน 248 ตำแหน่ง พบว่า หลังจากปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 13 ส.ค.นี้ มีผู้สมัครสอบรวมทั้งสิ้น 66,736 คน ทั้งนี้เป็นผู้สมัครสอบที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีมากกว่า 40,000 คน
ทั้งนี้คาดว่า จำนวนคนที่เดินทางมาสอบคัดเลือก จะช่วยให้มีเม็ดเงินไหลเข้าจังหวัดในช่วงนั้น ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทาง ที่พัก เป็นต้น
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/460 | 2004-09-24 20:48 | ไทย-เวียดนามเปิดเส้นทางท่องเที่ยวทางรถ | กรุงเทพฯ-24 ก.ย.47 ทางการไทยและเวียดนามเห็นชอบร่วมกันที่จะอนุญาตให้รถยนต์นักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ประเทศผ่านเข้าไปในพื้นที่ 7 แห่งของทั้ง 2 ประเทศได้ โดยข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ภายใน 2 เดือน หลังจากร่วมลงนาม
ทั้งนี้ข้อตกลงจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถนำรถยนต์ประเภททั้งพวงมาลัยซ้ายหรือพวงมาลัยขวาเข้าไปท่องเที่ยวยังเมือง 7 แห่งของเวียดนาม โดยผ่านด่านชายแดนของสปป.ลาว เข้าสู่เมืองกวางตรี หรือด่านชายแดนเมืองเกาเตรียมของเมืองฮา ตินห์ รวมถึงเมืองอื่นๆ อาทิ เมืองหู และเมืองกวางนัม
ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามสามารถนำรถยนต์ผ่านเข้าไปใน 7 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยได้ โดยผ่านด่านชายแดนไทยในจังหวัดมุกดาหาร,หนองคาย และนครพนม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/461 | 2004-09-24 20:52 | 500 ชื่อบัญชีดำถึงมือ "จิ๋ว" | ศูนย์ข่าวภาคใต้-24 ก.ย.47 หลังจากที่ พล.อ.ชวลิต ยุงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุถึงมาตรการปราบปรามกลุ่มบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ใบัญชีผู้ต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
แหล่งข่าวความมั่นคงระดับสูงในพื้นที่ เปิดเผยว่า บัญชีรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รายงานให้ พล.อ.ชวลิต ทราบแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้ ผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อรวมทั้งหมดจำนวน 477 คน อยู่ในพื้นที่ 7 อำเภอ ของจังหวัดยะลา จำนวน 151 คน แยกเป็นผู้นำศาสนา 11 คน ครูสอนศาสนา 25 คน ที่เหลือเป็นแนวร่วมและสมาชิกขบวนการเบอร์ซาตู จังหวัดปัตตานี ใน 7 อำเภอ มีจำนวน 46 คน แยกเป็นครูสอนศาสนา 1 คน ที่เหลือเป็นแนวร่วมและสมาชิกขบวนการ และ จังหวัดนราธิวาส ใน 8 อำเภอ จำนวน 280 คน แยกเป็นผู้นำศาสนา 2 คน ครูสอนศาสนา 7 คน ที่เหลือเป็นแนวร่วมและสมาชิกขบวนการ
นอกจากนี้ในบัญชีรายชื่อยังพบผู้ที่มีรายชื่อบางส่วน เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมไปถึงอดีตทหารเกณฑ์ในพื้นที่ และ ผู้ที่ต้องสงสัยพัวพันกับเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 4 ม.ค.2547
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/463 | 2004-09-24 22:23 | สธ.เฝ้าระวังหวัดนก 100% ทั่วปท. | กรุงเทพฯ-24 ก.ย.47 "ต่อไปจะมีการเฝ้าระวังแบบ 100% ทั่วประเทศ จะไม่รอให้มีการประกาศว่า พื้นที่ใดเป็นพื้นที่สีแดง สีเหลืองก่อน แต่จะใช้มาตรการเข้มงวดไว้ล่วงหน้า เพราะไม่อยากให้ต่างประเทศเข้าใจผิดว่าเมืองไทยมีการระบาดหนัก" นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุ
นางสุดารัตน์แถลงมาตรการเฝ้าระวังดังกล่าว ภายหลังข่าวพบผู้ป่วย2 คนที่เข้าข่ายต้องเฝ้าระวังว่าจะติดเชื้อไข้หวัดนก อาศัยอยู่ใน อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร บ้านเดียวกับเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังและเพิ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้นำป้าของเด็กหญิงและแม่ที่เสียชีวิตและก่อนหน้านี้ มาเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกที่โรงพยาบาลกำแพงเพชร แต่จากอาการล่าสุดของป้าของเด็กหญิงพบว่า ไม่มีอาการทางปอด เพียงแต่เป็นไข้หวัด
ป้าของเด็กหญิงรายนี้ ป่วยมาแล้ว 6 วัน มีศักดิ์เป็นพี่สาวของแม่เด็กหญิงรายดังกล่าว โดยผู้ป่วยมีประวัติดูแลหลานที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้
ขณะนี้ทางการรอผลการตรวจสอบหาเชื้อจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเด็กหญิงและผู้ป่วยซึ่งอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังอีกคนอาศัยอยู่ในอำเภอเดียวกันแต่คนละตำบล มีอาการป่วยเป็นไข้หวัดและได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดในเวลาใกล้เคียงกัน รวมทั้งแม่ของเด็กหญิงอายุ 11 ปีในจังหวัดนนทบุรีที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคงต้องรอผลการตรวจยืนยันอีกครั้งว่ามีเชื้อไข้หวัดนกหรือไม่ในสัปดาห์หน้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ส่งทีมลงไปสอบสวนโรคลงไปในพื้นที่เพื่อสำรวจหาผู้ป่วยเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ระบาดของไข้หวัดนก แต่เจ้าหน้าที่ได้ไปฉีดยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ทั้งหมดแล้ว
และในวันที่ 25 ก.ย.นี้ จะลงไปตรวจสถานการณ์ในพื้นที่ด้วยตนเอง พร้อมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำแผนการป้องกันในพื้นที่ และวันที่ 27 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศเรื่องไข้หวัดนก โดยคาดว่าจะมีการปรับแผนการป้องกันไข้หวัดนกใหม่
น.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกล่าวว่า เนื่องจากผู้ป่วยรายล่าสุดที่เข้าข่ายสงสัยเป็นไข้หวัดนก อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับเด็กหญิงซึ่งเสียชีวิตและอยู่ในข่ายเฝ้าระวังว่าติดเชื้อไข้หวัดนกเช่นกัน ทำให้ทางการต้องให้ความสนใจกับกรณีที่เกิดขึ้นมากเป็นพิเศษ เนื่องจาก เป็นผู้ป่วยรายที่ 3 ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
โดยเด็กหญิงคนดังกล่าวเสียชีวิต เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ด้วยโรคปอดอักเสบ มีประวัติที่บ้านเลี้ยงไก่ 5 ตัว และตายหมดในช่วง 10 วัน ก่อนเด็กป่วย และเมื่อวันที่ 20 ก.ย.มารดาของเด็กก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม หลังกลับจากร่วมงานศพของลูกสาว โดยทั้ง 2 ราย อยู่ในข่ายสงสัยว่าติดเชื้อไข้หวัดนก
น.พ.คำนวณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ยังไม่มีการยืนยันว่า พบการติดเชื้อไข้หวัดนกจากคนสู่คน แต่เคยพบผู้ป่วยในครอบครัวเดียวกัน ในพื้นที่ที่พบการตายของสัตว์ปีกเช่นเดียวกับที่พบในประเทศไทยขณะนี้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/465 | 2004-09-24 22:31 | ชาวบ้านลาวยืนยันอยากได้เขื่อนน้ำเทิน 2 | ประชาไท -- 24 ก.ย. 2547 ชาวบ้านลาวในเขตที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนน้ำเทิน 2 ยืนยันต้องการเขื่อน หวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เรียกร้องธนาคารโลกให้การสนับสนุน
"โครงการนี้ปรึกษาชาวบ้านมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เมื่อไหร่จะได้สร้าง ชาวบ้านพร้อมที่จะย้ายแล้ว ทุกวันนี้ชาวบ้านไม่มีอาหาร ไม่มีบ้านที่แข็งแรง บ้านหนองบัวเก่าพัฒนาอีก 100 ปีก็ไม่มีวันจะพัฒนาเท่าบ้านหนองบัวใหม่ที่รัฐช่วยพัฒนาเพียงปีเดียว ชาวบ้านมีเสาเรือนที่ทำจากเสาซีเมนส์"
นายบรรจง วงใจ จากหมู่บ้านนากายเหนือ ซึ่งต้องเดินเท้าฝ่าโคลนครึ่งหน้าแข้งเป็นเวลา 1 วันเพื่อมาร่วมประชุมน้ำเทิน 2 รอบสุดท้ายที่กรุงเวียงจันทร์ เรียกร้องที่ประชุมให้ก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2 โดยเร็วที่สุด โดยเชื่อว่าการสร้างเขื่อนจะทำให้คุณภาพชีวิตของตนดีขึ้น
"พวกเฮาเบื่อหน่ายความยากจนหลาย พวกเฮาอยากมีอาชีพมั่นคง มีรถขี่ มีบ้านเรือน มีโรงเรียน น้ำเทิน 2 จะช่วยพวกเฮา ขอให้ธนาคารโลกสนับสนุนโครงการนี้ เพราจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ขอให้พวกเฮาได้รับสิทธิในการพัฒนาทุกด้าน" นายบรรจง ชาวนาผู้ปลูกข้าวไม่เคยพอขายกล่าว
นายโอได สุดาพอน รองเจ้าแขวงคำม่วนกล่าว่า เมืองนากายเริ่มตั้งเมื่อปี ค.ศ.1992 ซึ่งตนได้เป็นรองเจ้าเมืองและมีการพูดกับชาวบ้านเรื่องเขื่อนน้ำเทิน 2 มาโดยตลอดและต้องการจะสื่อสารกับการประชุมวันนี้ว่าไม่ได้บังคับให้ชาวบ้านแสดงความเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว แต่ที่ประชาชนเห็นด้วยกับโครงการนี้เพราะได้ศึกษาและเข้าใจประโยชน์ของโครงการ
"โครงการได้พาข้าพเจ้าไปทัศนศึกษาโครงการต่าง ๆ ประชาชนก็อยากจะพ้นทุกข์ และเข้าใจว่าโครงการนี้ก็จะช่วยชาวบ้านได้ ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าก็พยายามปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ แต่ก็เหลือบ่ากว่าแรง ความคิดของข้าพเจ้าถ้าโครงการนี้เกิดข้าพเจ้าก็จะเป็นกรรมกรในโรงงานและข้าพเจ้าจะมีอาชีพอันมั่นคง"
สำหรับชาวบ้านในเขตเซบั้งไฟซึ่งมีผู้ร่วมประชุมหลายคนแสดงความเป็นห่วงว่าจะถูกน้ำท่วมจากการระบายน้ำของเขื่อนน้ำเทิน เข้าสู่แม่น้ำเซบั้งไฟนั้น นายโอไดให้ข้อมูลว่าพื้นที่ในเขตเซบั้งไฟ ถูกน้ำท่วมอยู่แล้ว โดยปีนี้มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมกว่า 7,000 เฮคเตอร์
นางสิมมา วงสะหวัด ประธานสหพันธ์แม่หญิงแขวงคำม่วน กล่าวกับประชาไทว่า ในช่วงแรกชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนก็ไม่พอใจที่จะต้องย้ายถิ่นฐาน แต่เมื่อได้เห็นบ้านตัวอย่าง คือบ้านหนองบัวใต้ ในแขวงคำม่วนซึ่งย้ายไปเมื่อ 2 ปีก่อน มีทั้งโรงเรียน สุขศาลา ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา มีเสื้อผ้าสวย ๆ มีทองใส่ การทำเกษตรกรรมได้รับการสนับสนุนให้มีสภาพที่ดีขึ้น ก็รู้สึกอยากจะได้รับโอกาสเช่นนั้นบ้าง
การประชุมน้ำทิน 2 วันนี้มีชาวบ้านจากพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2 มาร่วมประชุมประมาณ 40 คน ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการน้ำเทิน 2 โดยได้เห็นประสบการณ์จากหมู่บ้านหนองบัวใต้ แขวงคำม่วนจำนวน 31 ครัวเรือนได้ย้ายที่อยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในสายตาของพวกเขา
พิณผกา งามสม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/466 | 2004-09-24 22:33 | ลาวยันไม่ทำกับชาวบ้านเหมือนปากมูล | ประชาไท - 24 ก.ย.47 แหล่งข่าวระดับสูงของกระทรวงการเงิน สปป.ลาว เปิดเผยกับประชาไทว่า ประเทศลาวพร้อมจะดำเนินการตามมาตรการของธนาคารโลกทุกประการ ทั้งในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม และที่ผ่านมาะนาคารโลกก็พอใจการดำเนินการของลาว
"คนลาวนั้นยากจนมาก ไม่เหมือนคนไทยที่มีทางเลือกมากมาย ข้อเสนอของคนไทยจากปากมูลนั้น เรายอมรับในความปรารถนาดี แต่เราได้เรียนรู้จากกรณีของปากมูล ประเทศไทย เราจึงได้ทำการศึกษา จัดกระบวนการให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมกว่า100 ครั้ง ซึ่งปากมูลไม่มีกระบวนการดังกล่าว ในข้อนี้ธนาคารโลกเองก็ระมัดระวังที่จะให้การสนับสนุนโครงการนี้เนื่องจากประสบการณ์จากปากมูลเช่นกัน"
ด้านนายอเนก นาคะบุตร นักวิชาการอิสระจากประเทศไทย ซึ่งรับผิดชอบกระบวนการการมีส่วนร่วมของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการน้ำเทิน 2 กล่าวยืนยันในการประชุมว่าชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 70% ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการนี้ และสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้
"ชาวบ้านกว่า 200 หมู่บ้านได้เข้าร่วมประบวนการทุกหมู่บ้านๆ ละ 3 วัน โดยชาวบ้านแต่ละคนเข้ามานำกระบวนการเอง ผมไม่เคยมีการหารือใด ๆ ในชีวิตผมไม่เคยเห็นที่มีการระดมความคิดเห็นของชาวบ้านมากเท่าโครงการเขื่อนน้ำเทินในลาว" นายอเนกกล่าว
นายสีวิสัย สุกกะลัด หัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและหัตถกรรมแขวงคำม่วน สปป.ลาว กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดกับชาวบ้านปากมูลไม่ใช่ปัญหาสำหรับโครงการน้ำเทิน 2 เพราะประเทศลาวไม่มีปัญหาเรื่องที่ดินเหมือนอย่างเมืองไทย"
พิณผกา งามสม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/462 | 2004-09-24 21:12 | ผู้พิพากษาทั่วปท.สั่งเพิ่มการอารักขา | เชียงใหม่ - 24 ก.ย.47 นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ ประธานศาลฎีกา เปิดเผยหลังเสร็จสิ้นการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "มาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้" ครั้งที่ 2 ว่า ที่ประชุมได้มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ในการจัดตั้ง "Court Marshal" เพื่อรักษาความปลอดภัยภายในศาล โดยจะเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมกับวางกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นกับศาลทั่วประเทศ
ส่วนกรณีที่จะให้ผู้พิพากษาสามารถพกพาอาวุธปืนและเสื้อเกราะกันกระสุนนั้นประธานศาลฎีกา กล่าวว่า ทางคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องจะต้องปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาข้อยุติเป็นเอกฉันท์ คาดว่าเสียงส่วนใหญ่คงพิจารณาอนุมัติเพราะเป็นเรื่องที่เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตผู้พิพากษาและครอบครัว
"ขณะนี้มีผู้พิพากษาขอย้ายตัวเองออกจากพื้นที่เกือบจะทุกคน ซึ่งจะต้องพิจารณาดูว่าจะสามารถช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง เช่น บางท่านเหลือระยะเวลาอีกไม่กี่เดือนจึงจะครบวาระที่จะต้องย้ายก็ต้องขอให้อยู่จนครบก่อน หรืออาจจะหาผู้พิพากษาอาสาสมัครที่จะไปอยู่แทน" นายอรรถนิติกล่าว
ด้านนายชัช ชลวร เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการป้องกันรักษาความปลอดภัยที่ได้ดำเนินการไปแล้วในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การอนุมัติค่าตอบแทนพิเศษพื้นที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การอนุมัติงบฉุกเฉินให้ศาลละ 1 ล้านบาท อนุมัติงบ 200 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างบ้านพักใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ผู้พิพากษาและข้าราชการศาลอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อสะดวกในการรักษาความปลอดภัย
นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. เป็นต้นไป ให้ยกเว้นการติดตราราชการรถยนต์ของศาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับมีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว เพื่อรักษาความปลอดภัยทั้งที่ทำการศาลและบ้านพักข้าราชการและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง และให้เจ้าหน้าที่การข่าวแจ้งข่าวในพื้นที่ให้ศาลทราบเป็นระยะ อีกทั้งต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วนในการยกเว้นหลักเกณฑ์โยกย้าย 2 ปีให้มีผลใช้บังคับจนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและให้ผู้พิพากษาย้ายกลับไปยังภูมิลำเนาของตนเองหรือคู่สมรสใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/467 | 2004-09-24 22:52 | หมาดมกลิ่นตรวจมะเร็งได้ | ลอนดอน -24 ก.ย.47 นักวิทยาศาสตร์ทึ่ง สุนัขธรรมดาสามารถดมกลิ่นและวินิจฉัยได้ว่า ใครเป็นมะเร็ง นอกจากนี้ประสิทธิภาพการตรวจยังสูงกว่าเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
บริติช เมดิคัล เจอร์นัล วารสารการแพทย์ในอังกฤษ รายงานว่า คณะแพทย์จากโรงพยาบาลเอเมอร์แชมในอังกฤษ และองค์การเฮียริง ด็อก ฟอร์ เดฟ พีเพิล นำโดย ดร. แคโรไลน์ วิลลิส ค้นพบว่า สุนัขสามารถนำมารับการฝึก เพื่อตรวจหามะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ด้วยการดมกลิ่นได้
นักวิจัยเคยเขียนรายงานลงในวารสารการแพทย์แลนเซ็ท เมื่อปี 2532 มาแล้ว โดยระบุว่า ผู้หญิงคนหนึ่งได้ค้นพบว่า สุนัขของเธอสามารถตรวจหาเนื้อร้ายได้ หลังจากที่เธอพบว่าเจ้าหมาน้อยของเธอเอาแต่สนใจดมกลิ่นแผลบนผิวหนัง ซึ่งในที่สุดแพทย์วินิจฉัยว่า ผิวหนังตรงบริเวณที่มันสนใจเป็นมะเร็ง
ในเวลาต่อมาก็มีการกล่าวอ้างในลักษณะเดียวกันอีกว่า สุนัขธรรมดา ๆ สามารถตรวจพบโรคมะเร็งในปอด และเต้านมของคนได้ด้วย
ทั้งนี้ แพทย์เชื่อว่า มะเร็งจะผลิตกลิ่นพิเศษ ที่แตกต่างจากก้อนเนื้อธรรมดาของสิ่งมีชีวิต
การทดลองครั้งนี้ คณะนักวิจัยได้นำสุนัข 6 ตัวที่มีอายุมากกว่า 7 เดือนและถูกเลี้ยงดูและมีอายุแตกต่างกัน เข้าทำการทดลองดมกลิ่น เพื่อแยกแยะตัวอย่างปัสสาวะที่มาจากทั้งผู้ป่วยโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ และคนปกติ
ผลปรากฏว่า สุนัขสามารถเลือกตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วยโรคมะเร็งปัสสาวะได้ 22 จาก 54 ชุดทดลองหรือคิดเป็น 41% ซึ่งสูงกว่า 14% ที่ถือเป็นสถิติที่สุนัขอาจจะเลือกเพราะความบังเอิญ
นอกจากนี้ เจ้าสุนัขทั้งหมดนี้ยังได้เลือกตัวอย่างปัสสาวะของคนไข้รายหนึ่ง ที่แพทย์วินิจฉัยไปก่อนหน้าแล้วว่าไม่มีเนื้อร้าย แต่เมื่อทำการวินิจฉัยซ้ำ พบว่าคนไข้รายดังกล่าวเป็นมะเร็งในไตข้างขวา ที่ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทดสอบทางการแพทย์ธรรมดา
ดร.วิลลิสกล่าวว่า "เรารู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์" และปรากฏว่า เจ้าหมาน้อยแสนจะธรรมดาพวกนี้ ช่วยหมอวินิจฉัยโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะให้มนุษย์ได้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/471 | 2004-09-25 19:46 | และแล้ว..คริสตี้ก็มิใช่ศพเดียว คดีอัปยศซ้ำซากในสายตาสื่ออังกฤษ | และแล้ว..คริสตี้ก็มิใช่ศพเดียว
คดีอัปยศซ้ำซากในสายตาสื่ออังกฤษ
เป็นเพราะสื่ออังกฤษ เคยมีประสพการณ์และความทรงจำอันเลวร้าย กับการที่คนของประเทศเขา ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าสะเทือนขวัญและยังคงไร้ร่องรอยที่เมืองไทย จึงไม่แปลกที่การตายของอาดัม เจฟฟรีย์ ลอยด์ กับวาเนสซ่า แคลร์ อาร์สคอตต์ จะถูกประโคมให้ภาพของประเทศไทยน่าสะพึงกลัวสำหรับนักท่องเที่ยวจากอังกฤษอีกครั้ง
คงจะไม่เกินเลยที่จะใช้คำว่าน่าสะพึงกลัว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาแทนที่จะมาจากอาชญากรทั่วไป แต่กลับเป็นน้ำมือของคนในเครื่องแบบ
กลางดึกวันที่ 9 กันยายน ด.ต.สมชาย วิเศษสิงห์ อายุ 38 ปี ผบ.หมู่งานสืบสวน สภ.อ.เมืองกาญจนบุรี ฆาตกรรมนายอาดัม เจฟฟรีย์ ลอยด์ อายุ 23 ปี ชาวเมืองน็อตแฮมตั้น ประเทศอังกฤษ และ น.ส.วาเนสซ่า แคลร์ อาร์สคอตต์
นักศึกษาอายุ 22 ปี ชาวเมืองซิติเว่น ประเทศอังกฤษ ภายในร้านอาหาร S&S ริมถนนสายแม่น้ำแคว ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี
รายงานข่าวแจ้งว่านักท่องเที่ยวทั้ง 2 เข้ามาดื่มกินในร้านอาหารที่เกิดเหตุซึ่งด.ต.สมชายเป็นเจ้าของ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า สองหนุ่มสาวทะเลาะกัน และฝ่ายชายเริ่มมีปากเสียงกับ ด.ต.สมชายจนถึงขั้นชกต่อย ที่สุด ด.ต.สมชายได้ชักปืนพกขนาด .38 จ่อยิงใส่นายอาดัม ขณะที่น.ส.วาเนสซ่าพยายามวิ่งหนี
พยานระบุว่า ด.ต.สมชายขับรถพุ่งเข้าชนเธอและลากร่างติดรถไปก่อนจะจ่อยิงซ้ำและขับรถหลบหนีหายเข้ากลีบเมฆไป ส่วน 2 เหยื่ออารมณ์ บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบบ้าน ของด.ต.สมชาย พบเพียงรถเก๋งวอลโว่ รุ่น 460 สีฟ้า ทะเบียน กค 515 กาญจนบุรี ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดจำนวนมากตามส่วนต่างๆ ของรถ จึงยึดรถไว้เป็นหลักฐาน และคาดว่าสาเหตุสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นการมึนเมา ทะเลาะวิวาทและหึงหวง เพราะมีพยานบอกว่าด.ต.สมชาย สนิทสนมกับ น.ส.วาเนสซ่าด้วย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สถานทูตอังกฤษต้องส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิ้น และสื่ออังกฤษก็บินมาเกาะติดสถานการณ์ โดยไม่ลืมที่จะพลิกฟื้นคดีเก่าที่ยังค้างคาหาข้อสรุปไม่ได้มากเสนออีกครั้ง นั่นคือคดีที่เกิดขึ้นที่เชียงใหม่
การตายของคริสตี้ ซาร่า โจนส์ เมื่อสิงหาคม 2543 สะเทือนขวัญไม่ยิ่งหย่อน ครั้งนั้นเธอถูกข่มขืนและฆ่าที่เกสท์เฮ้าส์กลางเมืองเชียงใหม่
คดีคริสตี้ซับซ้อนและฉาวโฉ่ เพราะไม่เพียงแค่ความโหดเหี้ยมของเหตุการณ์แล้ว ยังมีเรื่องของการจับแพะ ตำรวจเข้ามาพัวพัน ไปจนถึงทรัพย์สินของคริสตี้หายสาบสูญไปด้วยอีกต่างหาก
หลังพบศพคริสตี้ ผู้ต้องสงสัยซึ่งมีทั้งฝรั่งในเกสท์เฮ้าส์ ไกด์ชาวกะเหรี่ยง และผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องจำนวนมากถูกสอบปากคำไป
บ้างก็ว่า เป็นแอนดริว เจมส์กิลล์ ชาวอังกฤษ เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ ที่มีพฤติกรรมทางเพศประหลาด บ้างก็ว่าเป็น
กระเหรี่ยงที่นำทางคริสตี้ไปทัวร์ป่า แต่ตอนหลังเรื่องกลับกลายเป็นว่าถูกขู่ให้เป็นแพะ
บ้างก็ว่าเป็นตำรวจท่องเที่ยวที่ลับๆ ล่อๆ อยู่ในที่เกิดเหตุ ที่สุดตำรวจจับกุมแอนดริว เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ แต่กลับกลายเป็นอัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ก่อนเนรเทศนายแอนดริว ออกจากเมืองไทย
แต่ละปีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากอังกฤษจะเร่งรัดติดตามคดีคริสตี้มายังสำนักงานตำรวจภาค 5 อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ทันที่คดีของคริสตี้จะคลี่คลาย กลับกลายมาเป็นคดีของอาดัม และวาเนสซ่า ซ้ำขึ้นมาสร้างความอัปยศอีก !!
โครงการความร่วมมือด้านข่าวภูมิภาค พลเมืองเหนือ-ประชาไท
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/470 | 2004-09-25 19:44 | สงบเย็นในแผ่นดินเกิดระพินทร์ เรือนแก้ว คนเหนือ เหยื่อไฟใต้ | สงบเย็นในแผ่นดินเกิด
ระพินทร์ เรือนแก้ว
คนเหนือ เหยื่อไฟใต้
.
แผ่นดินแม่
เมืองเชียงใหม่
โอบรับร่างของ "ระพินทร์ เรือนแก้ว" ไว้แล้ว
ระพินทร์ - ผู้เป็นถึงผู้พิพากษา แต่ถูกคมกระสุนที่ปัตตานีปลิดชีพอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตาลูกเมีย เขาคือศพที่ 310 จากเหตุการณ์ไม่สงบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจะเป็นศพสุดท้าย
ไฟใต้
ที่บานปลายมาถึงคนเหนือ โหมไหม้บุคคลในกระบวนการยุติธรรมจนร้อนอยู่ไม่ติดไปทั้งระบบ
บ่ายของวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2547 ที่สนามบินกองบิน 41 เชียงใหม่ เครื่องบินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำร่างที่คลุมด้วยธงชาติไทยของ "ระพินทร์" จากแดนใต้กลับมาถึงเมืองเชียงใหม่ ที่ซึ่งเขาได้เกิดและใช้ชีวิตในวัยเด็ก คงไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของนายเหรียญ และนางเพ็ญศรี พ่อและแม่ที่ถือกระถางธูปและภาพของลูกชาย เดินนำขบวนเกียรติยศอันแสนเศร้านี้ได้
ทหารอากาศ 8 นายแบกโลงบรรจุร่างเขาผ่านการทำความเคารพจาก นาย สุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายอุดม วัตตธรรม อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 นายปรีชา บุญโรจน์พงศ์ หัวหน้าผู้พิพากษาจังหวัดเชียงใหม่ ข้าราชการตุลาการประจำศาลจังหวัดเชียงใหม่ ทหารตำรวจ ตลอดจนประชาชน ที่ไปรอรับประมาณ 200 คน
เขา
กำลังจะเดินทางไปที่วัดพระนอนป่าเก็ตถี่ อำเภอสารภี จ.เชียงใหม่เพื่อรอรับพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2547 ที่สุสานกู่เขาเหล็ก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 กันยาน พ.ศ.2547 เวลาประมาณ 8.30 น.ที่สี่แยกไฟแดงถนนโรงเหล้าสาย ข อ.เมืองปัตตานี ระพินทร์ขับรถยนต์โตโยต้าแวนสีนำเงินหมายเลขทะเบียน กต 6485 สงขลา กลับจากการส่งบุตรสาวคนโตที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมีภรรยาคือนางเพ็ญศรี เรือนแก้วที่อุ้มบุตรสาวคนเล็กอยู่ที่เบาะหลัง ทั้งคู่พูดคุยถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ที่ปรากฏเป็นข่าวไม่เว้นวัน
ขณะที่กำลังจอดรอสัญญาณไฟอยู่นั้น มีวัยรุ่น 3 คน สวมหมวกกันน็อคขับรถจักยานยนต์ 2 คัน เข้ามาจอดประกบทางด้านคนขับ และชักอาวุธปืน .38 และ 9 มม.กระหน่ำยิงเขา ระพินทร์พยายามขับรถหนีแต่ก็ไม่สามารถที่จะหลบรอดคมกระสุนที่ทะลุผ่านกระจกและตัวถังรถ เจาะแขนขวา 1 นัด สีข้างหนึ่งนัด ท้องซ้าย 1 นัด และบริเวณศรีษะอีก 1 นัด และเขาก็ประคองรถไม่อยู่ เสียหลักพุ่งชนรถฝั่งตรงข้ามอีกคัน และเขาก็หมดลมลง
นี่คือ ศพที่ 310 หลังจากที่มีเหตุการณ์ปล้นปืนเกิดขึ้นบนแผ่นดินใต้ แม้ที่ผ่านมาเหยื่อจะคือคนของรัฐ แต่มิได้ถึงข้าราชการระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม
ระพินทร์ เรือนแก้ว 37 ปี เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2510 สำเร็จการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี พ.ศ.2532 และเนติบัณฑิตจากเนติบัณฑิตยสภา เมื่อปี พ.ศ.2534 เข้ารับราชการที่กรมบังคับคดี และโอนย้ายมาเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา เป็นผู้พิพากษาประจำกระทรวง ผู้พิพากษาประจำกระทรวงปฏิบัติราชการศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนราธิวาส และผู้พิพากษาประจำจังหวัดปัตตานีตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2542
ก่อนหน้านั้นเขาเรียนที่สาธิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อนๆ เรียกเขาว่า "พ่อหลวง" ด้วยบุคลิคของผู้นำ และเรียนเก่ง
วีรวุธ จันทร์ภิรมย์ เพื่อนร่วมรุนโรงเรียนสาธิต ม.ช.กล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มากและไม่น่าเชื่อว่าผู้พิพากษาจะเป็นเหยื่อของความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในวันเกิดเหตุนั้นตนได้เห็นข่าวในโทรทัศน์ว่ามีผู้พิพากษาถูกยิงเสียชีวิต แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนตนเอง จนเมื่อตอนช่วงสายเพื่อนร่วมรุ่นด้วยกันโทรศัพท์มาบอกว่า ระพินทร์ถูกยิงเสียชีวิต จึงได้รู้ ในสมัยที่ยังเรียนด้วยกันที่ โรงเรียนสาธิต ระพินทร์เป็น คนที่ตั้งใจเรียน รักเพื่อน นิสัยเรียบร้อย เวลาเพื่อนเดือดร้อนก็จะช่วยเหลือตลอด
ดวงนภา เรือนแก้ว ภรรยาขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัว โดยบอกว่าสามีเป็นผู้พิพากษาทำงานเพื่อให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรมโดยปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเป็นคนเสียสละมาก เดิมที่เป็นคนเชียงใหม่ แต่ยอมสละมาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส 4 ปี แล้วย้ายมาอยู่ปัตตานี เป็นคนดีที่รักประชาชน ไม่คิดว่าจะเป็นเป้าหมายของสถานการณ์ในครั้งนี้ ส่วนสาเหตุที่จะมาจากเรื่องส่วนตัวนั้นยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้เลยเพราะไม่เคยมีปัญหากับใคร
"ตอนนี้ขอให้ศาลให้ความเป็นธรรม ให้ประชาชนได้เห็นว่าทางราชการได้ให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัว เพราะหากจะขอชีวิตก็คงไม่ได้แล้ว คดีนี้เป็นคดี อุกฉกรรจ์ เพราะเป็นระดับผู้พิพากษาแล้วประชาชนตาดำๆ จะรู้สึกปลอดภัยได้อย่างไร"
นายเหรียญ และนางเพ็ญศรี เรือนแก้ว บิดามารดานายระพินทร์ กล่าวว่า ลูกเป็นคนดีไม่น่าที่จะมาเสียชีวิตเพราะสถานการณ์อย่างนี้เลย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระพินทร์ก็ได้กลับมาเยี่ยมที่บ้านเกิดและบอกว่าจะกลับมาสร้างบ้านให้พ่อแม่อยู่ อีกทั้งอยากจะกลับมาประจำอยู่ใกล้ๆ บ้านเพราะเป็นห่วงพ่อแม่อยากดูแลให้ใกล้ชิด แต่ก็ไม่มีโอกาสแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ระพินทร์ สั่นคลอนหลักประกันในความปลอดภัยของชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะขวัญและกำลังใจของข้าราชการในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างยิ่ง และเกินเลยที่จะเชื่อมั่นในมาตรการและแนวทางควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้
แม้ผู้พิพากษายังคิดที่จะมีหน่วยคุ้มกันเองเช่นนี้ หากรัฐยังไม่มีวิธีที่จะเรียกความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สินกลับคืนมามากไปกว่าทุ่มกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อตาต่อตาฟันต่อฟัน
ดินแดนใต้ย่อมห่างไกลคำว่า "สงบ"ลงไปทุกที และเป็นที่แน่นอนว่าย่อมสั่นคลอนไปถึงความเชื่อมั่นในฝีมือและนโยบายของรัฐด้วย
โครงการความร่วมมือด้านข่าวภูมิภาค
พลเมืองเหนือ-ประชาไท
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/472 | 2004-09-25 19:49 | วัดฝีมือ "พรหมเจริญ อินเตอร์เทรด " ปั้น "OTOP SHOP" ดันสินค้ารากหญ้าโกอินเตอร์ | รายงานพิเศษพลเมืองเหนือ
สุธิดา สุวรรณกันธา
วัดฝีมือ "พรหมเจริญ อินเตอร์เทรด "
ปั้น "OTOP SHOP" ดันสินค้ารากหญ้าโกอินเตอร์
โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล ด้วยเล็งเห็นว่าโครงการนี้จะกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึงทุกภูมิภาค จะเห็นได้ว่าในระยะ 3 - 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสินค้า OTOP สู่ระดับสากล และปัจจุบันสินค้า OTOP ของไทยได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลก ด้วยการพัฒนามาตรฐานการผลิตระดับนานาชาติของผู้ผลิตในชุ ม ชน และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมด้านการตลาดของรัฐบาล ทำให้มั่นใจได้ว่าอนาคต OTOP จะเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่นำรายได้สู่ประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลโดยกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เปิดฉาก "OTOP SHOP" ศูนย์รวมสินค้าจากชุมชนที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการส่งออก รวบรวมจัดแสดงไว้ภายในพื้นที่ที่สะดวกในการเข้าเยี่ยมชม โดยมีการจัดวางสินค้าอย่างสวยงามเป็นหมวดหมู่แบบเดียวกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เบื้องต้นกรมส่งเสริมการส่งออกเลือกพื้นที่นำร่อง OTOP SHOP 2 แห่งคือ แห่งแรกที่อาคาร Thailand Export Mart ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ และแห่งที่สองที่ศูนย์ส่งเสริมการส่งออกภาคเหนือ บนถนนสิงหราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปเที่ยวชม "OTOP SHOP" เชียงใหม่มาแล้ว อาจนึกไม่ถึงว่าสินค้ามากมายหลากหลายที่ผ่านการขัดสีฉวีวรรณ ถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่อย่างลงตัวและสวยงาม บนพื้นที่ 750 ตารางเมตร ล้วนเป็นฝีมือของชุมชนคนรากหญ้าจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ที่กำลังถูกต่อยอดสู่เวทีการค้าระดับสากล
"อภิสิทธิ์ พรหมยานนท์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรหมเจริญ อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นในเชียงใหม่ อยู่บนเส้นทางการค้าและการส่งออกมานานร่วม 13 ปี ได้รับเลือกจากกรมส่งเสริมการส่งออก ให้เข้ามาบริหารจัดการโครงการ "OTOP SHOP" เชียงใหม่ บอกกับ "พลเมืองเหนือ" ว่า การมี OTOP SHOP ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เกิดขึ้นมาเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการติดต่อธุรกิจ เป็นศูนย์รวมการส่งออกซื้อขาย โดยให้บริษัทเอกชน เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้า OTOP ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งรายย่อย รายกลาง ที่เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากในขณะนี้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีความชำนาญและไม่เข้มแข็งมากพอในเรื่องการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งการที่หน่วยงานราชการ จะรับผิดชอบในเรื่องการทำตลาดให้โดยตรง อาจเป็นเรื่องยากและไม่คล่องตัวเท่ากับให้บริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการ
สำหรับแนวทางบริหารจัดการโครงการนี้ จะเน้นหนักใน 2 ส่วนหลักคือ การให้บริการติดต่อธุรกิจในรูปแบบ B to B หรือ Business to Business โดยทางบริษัทจะเป็นศูนย์กลางหลักที่จะติดต่อและตกลงเจรจาการค้ากับลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งในระยะเริ่มต้นทางกรมส่งเสริมการส่งออกจะส่งเสริมกิจกรรมในต่างประเทศ เช่น การเชื่อมโยง OTOP SHOP เข้ากับสำนักงานของกรมส่งเสริมการส่งออกในต่างประเทศ ประสานและติดต่อผู้ซื้อในต่างประเทศ เป็นต้น อีกแนวทางหนึ่งก็คือ จะเน้นทำยอดขายตลาดภายในประเทศ ที่วางสัดส่วนไว้ในปีแรก 2547 ไว้ที่ประมาณ 20 - 30 % ที่เหลือจะเป็นสัดส่วนของตลาดส่งออกทั้งหมด แต่ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป จะเน้นหนักตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 90% ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ OTOP SHOP
สินค้าที่ถูกนำมาดีสเพลย์ไว้ภายใน OTOP SHOP แห่งนี้ มีหลากหลายมากกว่า 1,700 รายการ หรือประมาณ 8,500 ชิ้น แต่ในปี 2548 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 รายการ สินค้าทั้งหมดทางบริษัท พรหมเจริญอินเตอร์เทรด ได้ติดต่อจัดหามาจากผู้ผลิตโดยตรงจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจะมีทั้งสินค้าที่มาจาก SMEs และสินค้า OTOP ของกลุ่มชุมชน จากจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด 120 ราย แต่ในเบื้องต้นนำมาแค่ 80 ราย โดยสินค้าจะถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาจัดแสดงทุก ๆ 3 เดือน เพื่อความหลากหลาย ซึ่งวิธีการนั้น จะคัดเลือกจากผู้ประกอบการ OTOP และ SMEs ที่ผ่านการคัดสรรในระดับ 3 - 5 ดาว ที่มีศักยภาพส่งออกได้ ทั้งนี้ ในระยะแรกของการดำเนินการนอกจากทางบริษัท จะเป็นตัวกลางช่วยกระจายสินค้าให้ผู้ประกอบการ OTOP ทั้งปลีกและส่งแล้ว ในระยะต่อไปบริษัทจะว่าจ้างให้กลุ่มผู้ผลิต OTOP ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ผลิตสินค้าที่ผู้สั่งซื้อต่างประเทศต้องการ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางตลาดได้อีกทางหนึ่ง
"สินค้าที่จากผู้ผลิตที่นำมาจัดแสดงใน OTOP SHOP จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่อนาคตหากจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นก็จะเก็บให้น้อยที่สุด อาจจะประมาณ 500 บาทต่อเดือน ซึ่งตลาดต่างประเทศเรามั่นใจว่าเราทำได้แน่ ๆ ส่วนตลาดในประเทศจะเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเชียงใหม่ ที่นี่เป็นแหล่ง ช้อปแห่งใหม่ ตอนนี้ก็เริ่มประสานกับ ททท. โรงแรมและบริษัททัวร์ต่าง ๆ แล้ว เราคิดว่าถ้านักท่องเที่ยวเดินเข้ามาชมแค่วันละ 100 ราย เราก็พอใจแล้ว"
อภิสิทธิ์ บอกว่า การเข้ามาดำเนินการของพรหมเจริญ อินเตอร์เทรด ในโครงการ OTOP SHOP มีอายุโครงการ 5 ปี โดยจะทำการต่อสัญญาแรก 3 ปีต่อ 2 ปี โดยการบริหารจัดการหรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ที่คาดว่าจะมีต้นทุนดำเนินการทั้งค่าจ้างบุคลากร ค่าใช้จ่ายในส่วนสำนักงาน ค่าสาธารณูปโภคพื้นฐานประมาณเดือนละ 200,000 บาท ซึ่งแม้โครงการนี้จะเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนก็ตาม โดยรัฐจัดทำโครงการวางรูปแบบให้ เพื่อให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ ซึ่งระยะแรกนี้คงอยู่ระหว่างการประเมินผลงานว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งระยะต่อไปทางบริษัท อยากเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนเรื่องกิจกรรมทางการตลาดต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์โครงการ และการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าที่ทางบริษัทรับมาจากผู้ผลิตนั้น บางส่วนต้องนำมาปรับเรื่อง Packaging ใหม่เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด
นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเปิด OTOP Shop เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างเวทีการค้าระดับสากลให้แก่ผู้ผลิต ทั้งนี้ โดย OTOP Shop ณ ศูนย์ส่งเสริมการส่งออกภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าสินค้า OTOP ของภูมิภาคนี้
"ภาคเหนือเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งในด้านศิลปะและวัฒนธรรมมายาวนาน สินค้าที่ผลิตล้วนมีความงดงามด้วยฝีมือเชิงช่างวที่สะท้อนถึงการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น การจัดตั้ง OTOP Shop ขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคมของภาคเหนือ จึงเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้"
ทุกวันนี้สินค้าหัตถกรรมหลากหลายอันมีชื่อเสียงของท้องถิ่นได้ก้าวสู่ความเป็น OTOP และสามารถเพิ่มพูนรายได้สู่ภูมิภาคอย่างชัดเจน และเชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ OTOP Shop จะเป็นแหล่งกระจายรายได้ให้แก่ผู้ผลิตทุกชุมชนอย่างทั่วถึงตามนโยบายภาครัฐและตรมพันธกิจของกระทรวงพาณิชย์ ในการนำรายได้จากการส่งออกร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ทั้งนี้ รูปแบบการจัดแสดงคล้ายคลึงกับห้างสรรพสินค้า และแบ่งพื้นที่จัดแสดงเป็น 5 ส่วน ได้แก่ OTOP Promotion Area เป็นส่วนจัดแสดงสินค้ารวมทั้งหมด 5 ประเภทสินค้า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงศักยภาพและที่มาของสินค้า OTOP ส่วนต่อไปเป็น Retail Area ทั้งหมด 4 Area จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้าและเครื่องประดับตกแต่ง ของใช้และของประดับตกแต่ง บ้าน อาหารและสมุนไพร รวมทั้งศิลปะประดิษฐ์ต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี Intertrader Lounge เป็นส่วนสำหรับการเจรจาการค้าและต้อนรับลูกค้า ส่วนสำนักงานพร้อมอุปกรณ์สำหรับอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ส่วน Coffee Bar จัดมุมกาแฟเพื่อให้บริการผู้ที่มาเยี่ยมเยือน และส่วนสำหรับจัดเก็บ สต๊อกสินค้า
"การนำสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการส่งออกมารวบรวมจัดแสดงไว้ในพื้นที่สะดวกในการเข้าเยี่ยมชน โดยมีการจัดวางสินค้าอย่างสวยงามเป็นหมวดหมู่แบบเดียวกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และมีการดำเนินการด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์สินค้า โดยบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเชิงธุรกิจจะเป็นช่องทางในการขยายตลาดและโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้" นายการุณ กล่าว.
โครงการความร่วมมือด้านข่าวภูมิภาค พลเมืองเหนือ-ประชาไท
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/468 | 2004-09-24 22:57 | ระเบียบรับฟังความเห็นฯ ฉบับวิษณุ ขัดรธน. | ประชาไท-24 ก.ย. 47 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติระบุร่างระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นขัดรัฐธรรมนูญชัดเจน หากผ่านครม.ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ พร้อมเตรียมเสนอร่างพรบ.การมีส่วนร่วมของประชาชน
จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมาได้เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการหรือกิจกรรม ที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชน พ.ศ. ....โดยยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ โดยวิธีการประชาพิจารณ์ พ.ศ.2539 ซึ่งจะมีการนำเสนอในที่ประชุมครม.ต่อไป
นายวสันต์ พานิช คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่าสาระของร่างฯซึ่งมีการกำหนดข้อยกเว้นไม่ให้มีการรับฟังความคิดเห็นกรณีที่เป็นโครงการที่ครม.มีมติให้ดำเนินการเร่งด่วนนั้น จะทำให้ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพราะรัฐสามารถอ้างได้เพื่ออนุมัติโครงการ ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญด้วยเนื่องจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้นระบุไว้ชัดเจนถึงสิทธิดังกล่าว
"หากระเบียบผ่านออกมาบังคับใช้จริงและเราเห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ โดยต้องดูอีกครั้งว่าองค์กรไหนจะเป็นผู้ดำเนินการ" นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้คณะกรรมการสิทธิฯ อยู่ระหว่างยกร่าง พรบ.การมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะนำมาพิจารณาร่วมกับร่างของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และร่างของสถาบันพระปกเกล้าเพื่อนำเสนอร่วมกัน โดยหลักการคือกฎหมายการมีส่วนร่วมไม่ควรอยู่เฉพาะการประชาพิจารณ์เท่านั้น แต่ต้องมีในทุกส่วนตั้งแต่ระดับแผนนโยบายจนถึงโครงการต่างๆ ทั้งนี้หากนำเสนอไม่ทันสมัยสมัยการประชุมนี้จะมีการนำเสนอพรรคการเมืองต่อไป
สาระสำคัญของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการรับฟังความคิดเห็นฯ คือกำหนดให้การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องเป็นไปโดยเปิดเผย ต้องเปิดเผยสรุปผลและเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านได้ ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาการรับฟังความคิดเห็นฯมีปลัดสำนักนายกฯ เป็นประธาน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการเงื่อนไขและแนวปฏิบัติ
ทั้งนี้ระเบียบนี้ไม่ใช้บังคับกับโครงการหรือกิจกรรมที่กฎหมายกำหนดให้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือประชาชนไว้เป็นการเฉพาะ และโครงการที่ ครม.มีมติให้ดำเนินการเร่งด่วน เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ผลประโยชน์ของประเทศหรือสาธารณะที่จำเป็นต้องดำเนินการทันที รวมทั้งโครงการหรือกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอนุมัติ อนุญาต หรือสั่งการให้ดำเนินการก่อนวันที่ระเบียบนี้มีผลบังคับใช้
และ หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีการให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการ หรือกิจกรรมต่างๆให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีดุลยพินิจตัดสินใจว่า ควรจะให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่ แต่ถ้าเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย หรือส่วนได้ส่วนเสียของประชาชนตามที่คณะกรรมการกำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษา หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/469 | 2004-09-25 19:32 | เส้นทางฮีโร่เชียงใหม่ | เส้นทางฮีโร่เชียงใหม่
นักกีฬาพิการ
กำลังใจที่ต้องพึ่งตัวเอง
โอลิมปิกเอเธนส์เกมส์ปิดฉากลงไปแล้ว เวลาของการฉลองวีรบุรุษและวีรสตรีเริ่มสร่างซาลง แต่ค่ำคืนที่ 18 กันยายน 2547 เสียงเพลงชาติไทยได้กระหึ่มก้องกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซอีกครั้งด้วยผลงานของเธอ สายสุนีย์ จ๊ะนะ
เชียงใหม่ได้มีวีรสตรีของตัวเองขึ้นมาแล้ว เป็นวีรสตรีที่แม้สองขาของเธอจะอ่อนแรง แต่หัวใจเธอสุดแกร่ง แวว หรือสายสุนีย์ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบไทยจากอำเภอสารภี พิชิตเหรียญทองเหรียญแรกให้ทัพนักกีฬาไทย ในพาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้สำเร็จ และเธอยังคว้าเหรียญทองแดงมาอีกเหรียญให้สะใจกับความฝันสูงสุดในชีวิตที่คนพิการคนหนึ่งจะมีสิทธิ์ฝันได้
"พลเมืองเหนือ" ขอคารวะหัวใจอันยิ่งใหญ่ดวงนี้
/////////////////////////
หากเช้าวันนั้น
. เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว รถยนต์ที่แล่นมาตามถนนสายเชียงใหม่ - ลำพูนไม่เฉี่ยวชนเอามอเตอร์ไซด์ของสาวน้อยวัย 18 ปีให้ล้มลง สายสุนีย์ในวันนี้อาจจะเป็นหัวหน้างานใดงานหนึ่งของบริษัทญี่ปุ่นในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน และมีครอบครัวที่อบอุ่นกับคนที่เธอรักไปแล้ว แต่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยแค่นั้นไม่มีใครคาดฝัน และแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่คาดคิดว่าจะพลิกชีวิตของ "แวว" ให้กลายเป็น "คนพิการ" อัมพาตขาทั้งสองอ่อนแรง
ขยับตามคำสั่งของสมองไม่ได้ ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นนับแต่นั้นมา
"รถก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากเลยนะ พ่อก็ไม่คิดว่าจะทำให้แววถึงขั้นพิการ คู่กรณีเขาก็บอกว่าไม่ได้ชน ไม่ได้ชน ส่วนแววกับเพื่อนที่ไปด้วยกันก็เอาแต่ร้องไห้เจ็บขา เถียงอะไรเขาก็ไม่ได้ พ่อก็เสียใจ เขาก็เสียใจมาก ก็บอกเขาว่าเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ให้กำลังเขา บอกว่าจะไม่ทิ้งไม่ขว้าง เอาใจใส่จนเขาค่อยทำใจให้ได้ทีละนิด" มูล จ๊ะนะ ผู้เป็นพ่อย้อนเวลาอันขมขื่นให้ "พลเมืองเหนือ" ฟัง
และนับจากนั้นสายสุนีย์ก็ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ร่วม 4 เดือน ก่อนจะกลับมาตั้งหลักกับชีวิตที่พลิกผันอยู่ที่บ้านอีก 1 เดือนจึงตัดสินใจไปฝึกอาชีพที่ศูนย์คนพิการหยาดฝน อำเภอแม่แตง อันเป็นเสมือนโลกใหม่สำหรับสายสุนีย์ ที่ซึ่งเธอได้พบผู้คนที่ประสพปัญหาเดียวกัน
กีฬา ดูเหมือนจะเป็นทางออกให้เธอลืมความเจ็บปวด เธอเริ่มจากแชร์บอล แต่ภายหลังได้มารู้จักกับวีลแชร์ฟันดาบ และเธอก็เห็นว่าเป็นกีฬาประเภทบุคคล ที่ทำให้เธอคล่องตัวในการมุ่งมั่นฝึกซ้อมได้ นับจากนั้นเธอจึงมีเป้าหมายใหม่ให้ก้าวไปข้างหน้า แม้จะเป็นด้วยสองแขนและฝีมือ แทนขาที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ตาม และเธอก็ได้ทำให้กีฬา ได้กลายเป็นอาชีพของเธอ เมื่อมุ่งมั่นฝึกซ้อมจนติดทีมชาติและเข้าแข่งขันกีฬาคนพิการระดับนานาชาติหลายครั้ง
เม็ดเงินที่เธอได้ก็ส่งมาทดแทนบุญคุณพ่อและส่งเสียน้องสาว "ประกายดาว" ให้เรียนปี 3 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยพายัพในปัจจุบัน
"พี่เขาอยากให้หนูเรียนต่อให้สูงที่สุด ส่งเสียหนูเรียน เงินใช้จ่ายที่บ้านก็มาจากพี่ เขาจะได้เป็นก้อนตอนไปแข่งต่างประเทศ และยังทำงานหลายอย่างเป็นคนรับโทรศัพท์บ้าง ช่วยงานสมาคมบ้าง หนูภูมิใจเขามากที่เห็นเขามีชีวิตที่ดีแม้จะเป็นคนพิการ เพราะจำได้ว่าตอนที่รถชนตอนนั้นใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะทำใจได้"ประกายดาวน้องสายของสายสุนีย์เล่า
"สิ่งที่ใฝ่ฝันที่สุดของแววก็คือได้ไปพาราลิมปิกสักครั้งในชีวิต แววบอกว่าไม่ได้เหรียญก็ช่างเถอะ ขอให้ได้ไปร่วมก็พอ" พ่อของเธอบอก
แต่ใช่เพียงแค่ได้ไป
เธอทำได้มากกว่านั้น
สายสุนีย์ ลงแข่งขันพาราลิมปิกที่เอเธนส์เกมส์ครั้งนี้ในนามสมาคมส่งเสริมอาชีพคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ โดยก่อนไปเก็บตัวเธอกลับมาบ้านเกิดนอนพักที่บ้านย่านอำเภอสารภีเพียง 1 คืนก่อนจะไปลาผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ถึงศาลากลาง ประกาศความตั้งใจจริงว่าเธอจะเป็นตัวแทนคนเชียงใหม่ไปชิงชัยครั้งนี้
ขวัญชัย วงศ์นิติกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เล่าว่าได้เป็นตัวแทนท่านผู้ว่าฯ พูดคุยกับเธอ เธอบอกว่าตั้งใจมาก เปิดให้เห็นท่อนแขนของเธอเขียวช้ำไปหมดเพราะการฝึกซ้อม ยังได้มอบพระเครื่องให้เป็นกำลังใจ และมอบเงินจากท่านผู้ว่าฯ ให้เธอเป็นค่าใช้จ่าย 5,000 บาท และอวยพรให้เธอประสบความสำเร็จทำชื่อเสียงมาให้จังหวัดและประเทศชาติสมดังตั้งใจเป็น 5,000 บาท ที่รวมกับอีก 2,000 บาทที่สมาคมส่งเสริมอาชีพคนพิการจังหวัดเชียงใหม่มอบให้เธอติดตัวไปกรุงเอเธนส์ครั้งนี้
และเธอก็สมหวัง ประเทศชาติก็ปลื้มปิติ
เหรียญทองประเภทเอเป้ บุคคลหญิงกลุ่มบี เป็นเหรียญทองแรกที่เธอคว้ามาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2547 เธอเอาชนะ ยุย ซง ชาน นักกีฬาฟันดาบจากฮ่องกงอย่างสุดมันส์ เมื่อทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างสูสี ฉวยโอกาสดักแทงเข้าเป้าฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ จนมาเสมอกันที่ 13-13 ก่อนที่ใน 2 คะแนนสุดท้าย สายสุนีย์ จะได้โอกาสแทงเข้าเป้า 2 แต้มติด และเป็นฝ่ายเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด 15-13
และยังอีกรายการในวันที่ 20 ก.ย. คือการแข่งขันประเภทดาบฟอยบุคคลหญิง ประเภทความพิการระดับบี ซึ่งผลออกมาคือเธอได้เหรียญทองแดง โดยเอาชนะทางด้าน เครอล ฮิกกี้ย์ สาวจากสหรัฐอเมริกา ไปแบบขาดลอยด้วยคะแนนถึง 15-5 คะแนน ส่วนเหรียญทองเป็นของ ยู ชุย ยี จาก ฮ่องกง
"สายสุนีย์" ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า "ไม่คิดว่าจะมาไกลถึงจุดนี้ เพราะเพิ่งเริ่มเล่นกีฬาฟันดาบมาไม่นาน โดยเห็นว่าเป็นกีฬาประเภทบุคคล ถ้าตั้งใจจริงก็น่าที่จะประสบความสำเร็จได้
ที่มาจนถึงขั้นนี้ได้เพราะนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ตลอดเวลาเพราะทำให้รู้สึกมีสมาธิและกำลังใจดี เวลาที่ลงทำการแข่งขันพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันในตอนนั้นรู้ว่าคะแนนของตนเองเป็นฝ่ายตามหลังตลอด ตอนนั้นคิดว่ามันไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็คิดขึ้นมาว่า ฉันต้องทำให้ได้ เหลือ 2 แต้มเอง ถ้าฉัน 14 เท่า ฉันตายแน่ ก็เลยบุกไว้ก่อน ใช้จังหวะเร็วเอาไว้ก่อนตัดสินใจเอากำลังทั้งหมดทุ่มเทลงไปจนได้เหรียญทองมาครอง ถึงเวลานี้รู้สึกมีความสุขมาก และความสำเร็จทั้งหมดในวันนี้ต้องขอขอบคุณผู้ฝึกสอนคุณคันฉัตร คงไพสันต์ และสมาคมที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด"
อรรพรรณ กันนัย เจ้าหน้าที่หน่วยเครื่องช่วยคนพิการ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในฐานะกรรมการฝ่ายกีฬาสมาคมส่งเสริมอาชีพคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ซึ่งสนิทสนมและสนับสนุนสายสุนีย์มาอย่างต่อเนื่องบอกกับ "พลเมืองเหนือ" ว่า สมาคมฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมอาชีพคนพิการในหลายๆ ด้าน เช่นการประสานขอความอนุเคราะห์กับจุดต่างๆในการเปิดโอกาสให้คนพิการได้ประกอบอาชีพเช่นมีพื้นที่ให้ขายล็อตเตอรี่ สำหรับคุณสายสุนีย์ซึ่งพิการจากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรง และเคยทำงานด้านที่นิคมอุตสาหกรรมมาก่อน แต่เมื่อพิการก็มาหัดเล่นกีฬาฟันดาบก็ทำการฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องและเล่นกีฬาแต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อครั้งเธอเข้าแข่งขันเก็บเกี่ยวประสบการณ์และชื่อเสียงก่อนจะได้ไปพาราลิมปิก เธอแข่งขันในนามสมาคมคนพิการนนทบุรี และสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย แต่ครั้งนี้ได้กลับมาแข่งในนามของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทำให้เป็นครั้งแรกที่เชียงใหม่ขึ้นสู่การได้รับเกียรติมีนักกีฬาพิการเหรียญทอง เพราะก่อนหน้านี้ระดับฝีมือของนักกีฬาคนพิการที่นี่คือเข้าแข่งขันในระดับกีฬาคนพิการระดับประเทศเท่านั้น โดยกีฬาที่เชิดหน้าชูตาทีมจากเชียงใหม่คือบาสเก็ตบอลหญิง ซึ่งเคยได้รับเหรียญทองเฟสปิกเกมส์มาแล้วด้วยซ้ำ
เหตุผลสำคัญที่ไม่ค่อยมีนักกีฬาโดดเด่นนักเนื่องจาก ขาดการสนับสนุนและงบประมาณเป็นหลัก
"แต่เป็นกีฬาประเภททีม ต้องใช้งบสนับสนุนมากและต่อเนื่อง ก็เลยขาดตอนไป" อรพรรณกล่าวและบอกอีกว่า อยากให้รัฐบาลและคนไทยหันมาสนใจส่งเสริมคนพิการให้มีอาชีพด้านกีฬามากกว่าที่เป็นอยู่ ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เวลาไปขอรับการสนับสนุนก็จะได้จากรายเดิมบ้าง ปีละ 2,000- 3,000 บาทบ้าง บางทีก็ถูกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล อย่างเบี้ยเลี้ยงที่นักกีฬาไปแข่งหรือทีมงานไปก็จะเฉลี่ยกันได้คนละนิดละหน่อย ส่วนไปแข่งขันรายการใหญ่อย่างสายสุนีย์ ก็จะมีการกีฬาแห่งประเทศไทยรับผิดชอบการเดินทางที่พักต่างๆ พอได้อยู่ ส่วนเรื่องขวัญและกำลังใจนั้นบอกได้ว่าก็ต้องให้กำลังใจกันเอง
คาดว่าเงินอัดฉีดที่สายสุนีย์ได้รับเบื้องต้นจากนายสุวัฒน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรีราว 1 แสนบาท นายส่ง กาญจนชูศักดิ์ ผู้จัดการทีมนักกีฬาคนพิการที่ประกาศจะอัดฉีดให้เหรียญทอง 3 แสนบาท และเงินเดือนละ 5,000บาท อีก 2 ปี สื่อบางฉบับบอกว่าเธออาจได้ 9 แสน บางฉบับบอกว่าอาจได้ 2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามพ.อ.(พิเศษ) โอสถ ภาวิไล นายกสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยและในฐานะหัวหน้าคณะนักกีฬากล่าวว่า โบนัสที่นักกีฬาคนพิการได้รับจากรัฐบาลนั้นมันน้อยเกินไป โดยนักกีฬาปกติจะได้รับเหรียญทอง 3 ล้าน เหรียญเงิน 2 ล้านและเหรียญทองแดง 1 ล้าน ส่วนของคนพิการเหรียญทอง-เงินและทองแดงได้ 5-3-2 แสนบาท ดังนั้นตรงนี้ตนจึงไม่อยากให้มีช่องว่างมากเกินไปนัก
ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิดของเธอเมื่อรู้ข่าว ก็ประกาศเตรียมที่จะต้อนรับสายสุนีย์ให้สมเกียรติ
"นับว่าสายสุนีย์คือตัวอย่างของความมานะ อดทนจนประสพความสำเร็จ ขณะนี้นายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งการให้สำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัด ร่วมกันสำนักงานการกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ประชุมเตรียมการต้อนรับสายสุนีย์ไว้แล้ว" นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าว
นายมูล ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ดีใจมากที่บุตรสาวมีความมุมานะและใฝ่ฝันจนประสบความสำเร็จ และคงจะดีหากจังหวัดจัดเลี้ยงต้อนรับ เหมือนอย่างนักกีฬาหญิงยกน้ำหนัก ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศเหมือนกัน
นางสมศรี คำมี เพื่อนบ้านบอกว่า อยากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนเชียงใหม่ ช่วยเหลือและสนับสนุนเงินอัดฉีดให้กับ น.ส.สายสุนีย์ เนื่องจากมีความมานะอดทนในการฝึกซ้อมกว่าบุคลทั่วไป และยังต้องทำงานส่งเสียน้องเรียนหนังสืออีกด้วย
แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่
สำหรับสายสุนีย์แล้ว เธอบอกว่า ยังไม่อยากคิดถึงการต้อนรับและเงินรางวัลใดใด แต่สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดก็ตรงที่รัฐบาลควรให้ความสนใจนักกีฬาคนพิการเท่ากับคนปกติ เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น.
โครงการความร่วมมือด้านข่าวภูมิภาค
พลเมืองเหนือ-ประชาไท
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/473 | 2004-09-25 19:55 | เมือง 2 บุคลิก เชียงใหม่ : ลำพูน เตรียมฟื้นแผนเชื่อมเมืองแฝด | สกู๊ปพิเศษ
เมือง 2 บุคลิก เชียงใหม่ : ลำพูน
เตรียมฟื้นแผนเชื่อมเมืองแฝด
ความเป็นเมือง 2 บุคลิกของเชียงใหม่และลำพูน มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งของเชียงใหม่ กำลังกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญในทุก ๆ ด้าน มีวิสัยทัศน์ที่วางไว้คือ นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง "City of Life and Prosperity" : เป็นเมืองที่ให้ความสุขและชีวิตที่มีคุณค่าแก่ผู้อยู่อาศัยและผู้มาเยือน ในฐานะเมืองที่น่าอยู่และน่าท่องเที่ยวในระดับเอเชีย พร้อมกับเป็นประตูการค้าการลงทุนสู่สากล ส่วนอีกด้านของลำพูน ที่ชูวิสัยทัศน์เป็นเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (City of Historical and Cultural) ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเร่งของการพัฒนาไปสู่เมืองมรดกโลก
แม้ว่า "ลำพูน" จัดว่าเป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในภาคเหนือ มีพื้นที่เมืองทั้งหมด 4,505.882 ตร.กม. อาณาเขตเชื่อมโยงติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ด้วยระยะทางเพียง 25 กโลเมตร จึงนับเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางความเจริญของภาคร่วมกัน และแน่นอนว่าเมื่อมีการพัฒนาโครงการสำคัญ ๆ แทบทุกโครงการจะเป็นการพัฒนาที่มักเกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองจังหวัด
แต่ในความต่างในบุคลิกของทั้งสองเมือง กำลังถูกเชื่อมโยงเข้าหากัน ตามโครงการพัฒนาเมืองแฝดเชียงใหม่ - ลำพูน ที่ได้ศึกษาเสร็จสมบูรณ์แล้วมานานกว่า 10 ปี หลังจากที่จังหวัดลำพูนได้นำเสนอแผนฟื้นเมืองแฝดเชียงใหม่ - ลำพูน เมื่อคราวที่คณะรัฐมนตรได้สัญจรมาประชุมกันเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมติที่ประชุมเห็นชอบให้ปัดฝุ่นโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศึกษาในรายละเอียดความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
ปัญหาที่ต้องเร่งแก้
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุถึงปัญหาของจังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน ว่า 1.มีการละเมิดข้อกำหนดการใช้ที่ดินตามผังเมือง 2.ขาดการบูรณาการทางผังเมืองตลอดจนพื้นที่เชื่อมโยงเชียงใหม่ - ลำพูน (โครงการตลาดกลางเกษตร เทศบาลอุโมงค์ และอ.บ้านธิ และชุมชนเมืองรอบนิคมอุตฯลำพูน) 3.มีปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการขยายตัวของเมือง (ฝุ่นและอากาศเสีย น้ำเสีย ขยะ ระบบขนส่งสาธารณะ) 4.การศึกษา และข้อมูลแหล่งประวัติศาสตร์มีอยู่อย่างจำกัด มีการรุกล้ำ 5.ขาดเครือข่ายเชื่อมโยง ถนนสายหลักและสายรอง
โดยได้เสนอยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาเชียงใหม่ - ลำพูนไว้ว่า 1.ควรกำกับการขยายตัวเมืองตามผังเมือง/เน้นการขยายตัวอย่างสมดุล โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกชี้นำการพัฒนาเมือง 2.ควรเร่งพัฒนาบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการในพื้นที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองไปยังพื้นที่ด้านตะวันออกของแม่ปิง (เมืองสันทราย สันกำแพง สารภี) 3.กำกับ/ควบคุมไม่ให้มีการขยายตัวของเมืองแบบเข้มข้นในแนวเหนือ-ใต้สองฝั่งแม่ปิง ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาจราจร 4.กำหนดให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นใหม่อย่างเป็นระบบในนิคมอุตสาหกรรม 5.เตรียมพื้นที่รอยต่อ(เทศบาลอุโมงค์ อ.บ้านธิ ) รองรับการพัฒนาธุรกรรมทางเศรษฐกิจ 6.เร่งรัดโครงการจัดสร้างโรงกำจัดขยะ และบำบัดน้ำเสีย โดยกำหนดให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ควบคู่กับการเร่งแก้ไขปัญหาฝุ่นและอากาศเสียศึกษาแนวทางอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ประวัติศาสตร์ควบคู่การปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมือง
นายประยูร วงศ์พานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูฯ กล่าวว่า แผนการพัฒนาของเชียงใหม่และลำพูนในหลายด้าน มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาร่วมกัน ทั้งในด้านการพัฒนาเส้นทางคมนาคม การท่องเที่ยว การขนส่งสินค้าทางรถไฟ การพัฒนาภาคอุตสาหกรรม แม้ที่ผ่านมาโครงการพัฒนาเมืองแฝดเชียงใหม่ - ลำพูน จะต้องพับแผนไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมายังขาดการประสานงาน แต่ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะทั้งสองจังหวัดอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์เดียวกัน
นายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้มีการจัดวางผังเมืองในส่วนของการใช้พื้นที่ร่วมกันใหม่ ซึ่งเชื่อว่าการพัฒนาร่วมกันในครั้งนี้ จะทำให้เกิดรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น
ครม.ไฟเขียวงบ 43 ล้านบาท
ศึกษาพัฒนาเชื่อมเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการศึกษาเพื่อพัฒนาเมืองศูนย์กลางความเจริญภาคเหนือตอนบนเชียงใหม่-ลำพูน และจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นฐานการรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างเมือง โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปดำเนินการ และอนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2548 จำนวน 43 ล้านบาท โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ดังนี้
1.เร่งรัดการจัดทำผังเมืองให้มีผลบังคับตามกฎหมายโดยเร็วโดยลดขั้นตอนการดำเนินงานลง
2.ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นกลไกการประสานแผนงานการพัฒนาระหว่าง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนขยายของเมืองกับเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบลโดยใช้ผังเมืองเป็นกรอบ
3.จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาพื้นที่ระหว่างเมืองร่วมกัน คือ เชียงใหม่-ลำพูน โดยการใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองศูนย์กลางภาคเหนือตอนบนเป็นหลักในการพัฒนา
งัดผังเมืองจัดระเบียบที่ดินเลียบทางรถไฟ
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาตามมาตรการผังเมืองในพื้นที่เฉพาะและจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินสองฟากถนนเลียบทางรถไฟเชียงใหม่-ลำพูน (ระยะที่ 2) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอโดยให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เป็นค่าก่อสร้างถนนเลียบทางรถไฟเชียงใหม่-ลำพูน (ระยะที่ 2) โดยดำเนินการปรับปรุงถนนเดิมบางสายทาง ปรับปรุงทางร่วมทางแยกพร้อมระบบสาธารณูปโภค และการจัดภูมิทัศน์ จำนวนเงิน 100,000,000 บาท และขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลางฯ ปี 2547 เพิ่มเติม จำนวนเงิน 149,367,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประกอบด้วย เครื่องกั้นรถยนต์อัตโนมัติจุดตัดข้ามทางรถไฟ ระบบระบายน้ำตามแนวสายทาง โครงการพัฒนาตามมาตรการผังเมืองถนนสายดอยติ -ลำพูน - แยกเมืองง่า (ฝั่งตะวันตก) และศึกษาความเหมาะสมระบบป้องกันน้ำท่วมบริเวณชุมชนสองฟากถนนเพื่อสำรวจออกแบบรายละเอียดให้ระบบระบายน้ำสอดคล้องกับการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อไป
ล้อมกรอบ
โครงการพัฒนาเมืองแฝดเชียงใหม่ - ลำพูน 3,065.25 ล้านบาท
จังหวัดเชียงใหม่ 5 โครงการ งบประมาณ 1,842.45 ล้านบาท
1) โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตเมือง (ปี 2548) 1,210 ล้านบาท
- ขยายทางหลวง 121 ระหว่างจุดตัดทางหลวง 108 กับ 11 เป็น 4 ช่องจราจรระยะทาง 10.071 ก.ม. 380 ล้านบาท
- ก่อสร้างอุโมงค์ลอดจุดตัดทางหลวงหมายเลข 11 กับ 1006 (แยกหนองประทีป) 380 ล้านบาท
- ก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 11 กับ 121 (ทางเข้างานพืชสวนโลก) 150 ล้านบาท
- ก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 121 กับ 118 วงเงิน 150 ล้านบาท
2) โครงการศึกษาออกแบบระบบรถไฟฟ้า 145 ล้านบาท
3) โครงการแก้ปัญหาอากาศเสีย ประกอบด้วยโครงการย่อย 4 โครงการ รวมวงเงิน 8.95 ล้านบาท
- โครงการตรวจวัดความเป็นพิษของอนุภาคฝุ่นในเมืองเชียงใหม่ ภายใต้โครงการแก้ปัญหาอากาศเสียในเมือง 3.71 ล้านบาท
- ศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากคุณภาพอากาศเชียงใหม่ : ตลาดวโรรส 1.91 ล้านบาท
- โครงการรณรงค์และผลิตสื่อให้ความรู้ เพื่อลดการก่อมลพิษทางอากาศเชียงใหม่ 1.73 ล้านบาท
- โครงการฝึกอบรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมาตรการทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ 1.6 ล้านบาท
4) โครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียงตะวันออกแม่น้ำปิง 430 ล้านบาท
5) โครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิงย่านใจกลางเมือง 48.5 ล้านบาท
จังหวัดลำพูน 5 โครงการ งบประมาณ 1,223 ล้านบาท
1) โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตเมืองลำพูน - ก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 11 กับ 1147 แยกสันป่าฝ้าย นิคมอุตสาหกรรมลำพูน 150 ล้านบาท
2) โครงการขยายผิวจราจร 8 ช่องจราจรทางหลวงสาย 11 25 กม.(แยกดอยติ จ.ลำพูน - แยกสันกำแพง จ.เชียงใหม่) ระยะทาง 25 กิโลเมตร 1,000 ล้านบาท
3) โครงการสำรวจศึกษาออกแบบถนนเลี่ยงเมือง สาย ค1 ค3 และระบบถนนเชื่อมต่อ สาย ข 2 ค2 และ ก1 วงเงิน 20 ล้านบาท
4) โครงการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางจักรยาน 50 ล้านบาท
5) โครงการศึกษาเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองลำพูนสู่มรดกโลก 3 ล้านบาท
โครงการความร่วมมือด้านข่าวภูมิภาค พลเมืองเหนือ-ประชาไท
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/475 | 2004-09-25 22:00 | พบสารแคดเมียมแม่สอดใน 7 ผู้ป่วยสูง 795 ราย | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-25 ก.ย.47 รพ.แม่สอด เปิดเผยรายงานผลการดำเนินงานประเมินภาวะพิษของแคดเมี่ยมในร่างกายของชาวบ้านที่รับผลกระทบในเขตพื้นที่ 3 ตำบล มีผู้ป่วยรับสารแคดเมียมสูงถึง 795 ราย
นพ.วิทยา สวัสดิวุฒิพงศ์ นายแพทย์ด้านเวชกรรมป้องกัน รพ.แม่สอด เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าว" ประชาไท" ว่า เนื่องจากมีการตรวจพบสารแคดเมียมในสิ่งแวดล้อมและพืชผลเกษตร ในเขตต.พระธาตุผาแดง ต.แม่กุ และต.แม่ตาว ของอ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพประชาชนที่ปลูกข้าวและพืชผักในพื้นที่ที่มีระดับแคดเมียมสูง โดยเฉพาะข้าว ทางรพ.แม่สอด จึงได้ร่วมกับสนง.สาธารณสุขอำเภอแม่สอด ออกตรวจหาระดับแคดเมียมและประเมินผลภาวะพิษต่อไต
"เราได้ทำการตรวจหาระดับแคดเมียม ในชาวบ้านอายุตั้งแต่ 15 ขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 6,802 ราย ผลการศึกษาพบว่า มีผู้ป่วยที่มีระดับแคดเมียมสูง และค่อนข้างสูง รวม 795 ราย ทางโรงพยาบาลสามารถติดตามมารับการนำมารับตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อประเมินการทำงานของไตได้ 759 ราย และไม่มารับการตรวจ 36 ราย ซึ่งทางจะได้ติดตามมาตรวจต่อไป" นพ.วิทยา กล่าว
นพ.วิทยา ยังเปิดเผยอีกว่า ในผู้ที่มีระดับแคดเมียมสูง และค่อนข้างสูง พบว่า มีภาวะไตวายหรือไตเสื่อม 31 ราย มีภาวะไตเริ่มเสื่อม 154 ราย และพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะ 2 ราย โดยใน 1 รายนี้มีภาวะไตวายร่วมอยู่ด้วย
"ผู้ที่ได้รับสารแคดเมียมที่มีภาวะไตวายหรือมีการทำงานของไตผิดปกติ ทางโรงพยาบาลจะให้การักษาแบบผู้ป่วยโรคไตและนัดตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง และกำลังเตรียมการให้สุขศึกษาและตรวจคัดกรอง ประเมินภาวะพิษของแคดเมียมต่อกระดูก และให้การรักษาในประชากรกลุ่มเสี่ยงที่มีระดับแคดเมียมสูงในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการตรวจได้ภายในเดือนพ.ย.นี้" นพ.วิทยา กล่าว
นายทูวา สิงห์สีหมื่น ชาวบ้านพะเด๊ะ วัย 63 ปี กล่าวว่า แต่ก่อนทำงานแข็งแรงดี ตอนหลังๆ มารู้สึกว่า เริ่มอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีอาการเหน็บชาตามแขนขา เจ็บหน้าอก ทรมานมาก พอไปตรวจจึงรู้ว่าได้รับสารแคดเมียมในร่างกาย
นางมะโอส่วย ชาญวนา อายุ 40 ปี กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เวลาเดินก็เหนื่อยแล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง มีน้ำมูก ปวดหัว จนทำงานไม่ค่อยไหวแล้ว
นายณรงค์ชัย ชาญวนา กล่าวว่า ชาวบ้านอยู่กันมาเป็นร้อยๆ ปี ไม่เคยเจอโรคแบบนี้ แต่พอมีเหมืองแร่มาเปิดเหนือหมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2516 จนถึงวันนี้จึงรู้ว่า ชีวิตและวิถีของชุมชนกำลังจะล่มสลาย ทำให้เกิดปัญหาและเพิ่มภาระให้กับชาวบ้าน จากเคยไปทำงานในไร่นา กลับต้องไปโรงพยาบาลหลายๆ ครั้ง
นายสมพงษ์ สาธุสถิต กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า วิถีเดิมๆ ที่เคยอยู่อย่างสงบสุข ต้องเปลี่ยนไป ปลูกข้าวแต่ไม่ได้กินข้าวที่ตนเองปลูก ปลูกผักก็ไม่กล้ากิน ทุกอย่างต้องซื้อจากข้างนอก มีน้ำไหลผ่านหมู่บ้านก็ไม่ได้ใช้ แต่ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำถังจากโรงงานแทน และที่สำคัญเพื่อนบ้านใกล้เคียงไม่กล้าเข้ามาร่วมงานกิจกรรมต่างๆ ด้วย เพราะหวาดระแวงกลัวได้กินข้าวกินน้ำที่มีสารแคดเมียมตกค้าง อยากให้รัฐและผู้ที่สร้างปัญหา ได้มองเห็นและมีจิตสำนึกในเรื่องนี้ ว่าชีวิตและวิถีของชุมชนกำลังล่มสลาย
ในรายงานของ รพ.แม่สอด ยังระบุถึงโรคพิษแคดเมียมอีกว่า สารแคดเมียม สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง คือทางปาก โดยการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียมเข้าไป เช่นในข้าวหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนแคดเมียม และทางจมูก โดยการหายใจเอาควัน หรือฝุ่นของแคดเมียมเข้าไป เช่น ในเหมืองสังกะสี ซึ่งทำให้เป็นพิษต่อไตซึ่งเป็นอวัยวะที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดอาการปวดเอว กล้ามเนื้อขา กระดูกโค้งงอ กระดูกพรุนและหักได้
ซึ่งเหตุการณ์นี้ระบาดพิษของแคดเมียมในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากโรงงานได้ทิ้งกากแร่ที่มีแคดเมียมและโลหะอื่นๆ ปล่อยน้ำเสียปะปนกับแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าสู่ไร่นาที่ปลูกข้าวและพืชผักต่างๆ ทำให้มีแคดเมียมปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดข้าวและอาหาร เป็นเหตุให้แคดเมียมเข้าสู่ร่างกายเกิดอาการของโรคพิษแคดเมียม ซึ่งการเกิดพิษเรื้อรังมักต้องได้รับแคดเมียมสะสมนานถึง 20-30 ปี
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/474 | 2004-09-25 21:55 | รัฐสั่งไถกลบหน้าดินนาข้าวแก้แคดเมียมปนเปื้อน | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-24 ก.ย.47 รัฐอนุมัติงบฯ กว่า 200 ล้านบาท เร่งให้ทำลายข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม พร้อมกับไถกลบนาข้าวที่ปลูกใหม่ ก่อนจ่ายค่าชดเชย
นายโกวิท เครือวงษ์ ปลัดอำเภอแม่สอด จ.ตาก เปิดเผยกับ"ประชาไท" ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับจังหวัดตาก แต่งตั้งคณะทำงานจัดการข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม บริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งได้จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลกระทบในระดับจังหวัด ซึ่งได้แยกเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตั้งแต่ปี 2547-2549 โดยได้เสนอขออนุมัติจากส่วนกลางในวงเงินทั้งสิ้น 206,665, 232 บาท ซึ่งกำลังดำเนินการในแผนระยะแรก
"ขณะนี้ เราได้ทำลายเผาข้าวที่มีสารแคดเมียมปนเปื้อนไปแล้วกว่า 90 ตัน แต่ยังคงค้างอยู่ในยุ้งฉางอีกประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งทางอำเภอเป็นฝ่ายกำจัดทำลาย หลังจากนั้น จะมีการไถกลบต้นข้าวที่ปลูกใหม่เพื่อทำลายไม่ให้สารปนเปื้อนเล็ดลอดกระจายออกไปสู่ภายนอก พร้อมกับการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกร" นายโกวิทย์ กล่าว
นายสมพงษ์ สาธุสถิต ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพะเด๊ะ ม.4 ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก เปิดเผยว่า หลังจากที่องค์กรเอกชนต่างชาติ บริษัท Internationnal Water Management Institute (IWMI) ได้ทำการสำรวจปัญหาการปนเปื้อนสารแคดเมียมในข้าวและพืชผลการเกษตรของชาวบ้านในเขตลุ่มน้ำห้วยแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก และพบว่า มีสารปนเปื้อนในเมล็ดข้าว รวมทั้งยังตรวจพบว่ามีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในลำห้วยแม่ตาว และในพื้นที่ปลูกข้าวลุ่มน้ำแม่ตาวจริง
"รัฐแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยยอมรับว่ามีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในเมล็ดข้าวจริง แล้วจ้างให้โรงสีข้าวศิลป์รุ่งเรืองมารับซื้อข้าวที่มีสารแคดเมียมปนเปื้อนไปเผาทิ้ง ซึ่งได้จ่ายค่าชดเชยให้เกวียนละ 3,300 บาท"
"
ทำไมไม่ไปแก้ที่ต้นเหตุ โดยให้มีการตรวจสอบว่า สาเหตุที่มีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในนาข้าว ลำห้วย และในร่างกายของชาวบ้านนั้น มาจากการที่เหมืองแร่ปล่อยน้ำเสียทิ้งกากแร่ที่มีสารแคดเมียมลงไปในแหล่งน้ำ ไร่นาหรือไม่" นายสมพงษ์ กล่าว
นายวิชิต กิจวิโรจน์กุล สมาชิก อบต.พระธาตุผาแดง เปิดเผยว่า ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ชาวบ้านที่ป่วยด้วยโรคพิษแคดเมียม ซึ่งอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงหลังจากมีการตรวจพบว่า มีผู้ที่ได้รับสารแคดเมี่ยมในร่างกายสูงถึง จำนวน 795 ราย ในเขตพื้นที่ 3 ตำบล คือ ต.พระธาตุผาแดง ต.แม่กุ และต.แม่ตาว โดยเฉพาะที่บ้านพะเด๊ะ มีผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 78 ราย ซึ่งทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างหวาดวิตก"
"ทำไมรัฐไม่ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดว่า ต้นเหตุที่เกิดปัญหานี้มาจากส่วนไหน อยากให้ความเป็นธรรมและรับผิดชอบในที่สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ให้บริษัทเหมืองแร่ผาแดง มารับผิดชอบเพียงเอารถมาขนข้าวเปลือกไปทำลาย กับมารับ-ส่งชาวบ้านที่ป่วยด้วยสารแคดเมี่ยมไปโรงพยาบาลเท่านั้น" นายวิชิต กล่าว
นายโกวิท เครือวงษ์ ปลัดอาวุโส อ.แม่สอด ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า ในกรณีนี้ ทางกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงมาทำการตรวจสอบในพื้นที่กันเอง โดยไม่มีการประสานงานกับทางอำเภอและจังหวัดแต่อย่างใด พอเป็นข่าวขึ้นมา จึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในอำเภอแม่สอด รวมทั้งการซื้อขายและการบริโภคข้าวในจังหวัดทันที โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่บ้านพะเด๊ะ ถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ขึ้นชื่อ เคยชนะเลิศการประกวดข้าวในระดับประเทศมาแล้ว
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/476 | 2004-09-25 22:10 | พบสารแคดเมียมแม่สอดใน 7 ผู้ป่วยสูง 795 ราย | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-25 ก.ย.47 รพ.แม่สอด เปิดเผยรายงานผลการดำเนินงานประเมินภาวะพิษของแคดเมี่ยมในร่างกายของชาวบ้านที่รับผลกระทบในเขตพื้นที่ 3 ตำบล มีผู้ป่วยรับสารแคดเมียมสูงถึง 795 ราย
นพ.วิทยา สวัสดิวุฒิพงศ์ นายแพทย์ด้านเวชกรรมป้องกัน รพ.แม่สอด เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าว" ประชาไท" ว่า เนื่องจากมีการตรวจพบสารแคดเมียมในสิ่งแวดล้อมและพืชผลเกษตร ในเขตต.พระธาตุผาแดง ต.แม่กุ และต.แม่ตาว ของอ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพประชาชนที่ปลูกข้าวและพืชผักในพื้นที่ที่มีระดับแคดเมียมสูง โดยเฉพาะข้าว ทางรพ.แม่สอด จึงได้ร่วมกับสนง.สาธารณสุขอำเภอแม่สอด ออกตรวจหาระดับแคดเมียมและประเมินผลภาวะพิษต่อไต
"เราได้ทำการตรวจหาระดับแคดเมียม ในชาวบ้านอายุตั้งแต่ 15 ขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 6,802 ราย ผลการศึกษาพบว่า มีผู้ป่วยที่มีระดับแคดเมียมสูง และค่อนข้างสูง รวม 795 ราย ทางโรงพยาบาลสามารถติดตามมารับการนำมารับตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อประเมินการทำงานของไตได้ 759 ราย และไม่มารับการตรวจ 36 ราย ซึ่งทางจะได้ติดตามมาตรวจต่อไป" นพ.วิทยา กล่าว
นพ.วิทยา ยังเปิดเผยอีกว่า ในผู้ที่มีระดับแคดเมียมสูง และค่อนข้างสูง พบว่า มีภาวะไตวายหรือไตเสื่อม 31 ราย มีภาวะไตเริ่มเสื่อม 154 ราย และพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะ 2 ราย โดยใน 1 รายนี้มีภาวะไตวายร่วมอยู่ด้วย
"ผู้ที่ได้รับสารแคดเมียมที่มีภาวะไตวายหรือมีการทำงานของไตผิดปกติ ทางโรงพยาบาลจะให้การักษาแบบผู้ป่วยโรคไตและนัดตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง และกำลังเตรียมการให้สุขศึกษาและตรวจคัดกรอง ประเมินภาวะพิษของแคดเมียมต่อกระดูก และให้การรักษาในประชากรกลุ่มเสี่ยงที่มีระดับแคดเมียมสูงในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการตรวจได้ภายในเดือนพ.ย.นี้" นพ.วิทยา กล่าว
นายทูวา สิงห์สีหมื่น ชาวบ้านพะเด๊ะ วัย 63 ปี กล่าวว่า แต่ก่อนทำงานแข็งแรงดี ตอนหลังๆ มารู้สึกว่า เริ่มอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีอาการเหน็บชาตามแขนขา เจ็บหน้าอก ทรมานมาก พอไปตรวจจึงรู้ว่าได้รับสารแคดเมียมในร่างกาย
นางมะโอส่วย ชาญวนา อายุ 40 ปี กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เวลาเดินก็เหนื่อยแล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง มีน้ำมูก ปวดหัว จนทำงานไม่ค่อยไหวแล้ว
นายณรงค์ชัย ชาญวนา กล่าวว่า ชาวบ้านอยู่กันมาเป็นร้อยๆ ปี ไม่เคยเจอโรคแบบนี้ แต่พอมีเหมืองแร่มาเปิดเหนือหมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2516 จนถึงวันนี้จึงรู้ว่า ชีวิตและวิถีของชุมชนกำลังจะล่มสลาย ทำให้เกิดปัญหาและเพิ่มภาระให้กับชาวบ้าน จากเคยไปทำงานในไร่นา กลับต้องไปโรงพยาบาลหลายๆ ครั้ง
นายสมพงษ์ สาธุสถิต กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า วิถีเดิมๆ ที่เคยอยู่อย่างสงบสุข ต้องเปลี่ยนไป ปลูกข้าวแต่ไม่ได้กินข้าวที่ตนเองปลูก ปลูกผักก็ไม่กล้ากิน ทุกอย่างต้องซื้อจากข้างนอก มีน้ำไหลผ่านหมู่บ้านก็ไม่ได้ใช้ แต่ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำถังจากโรงงานแทน และที่สำคัญเพื่อนบ้านใกล้เคียงไม่กล้าเข้ามาร่วมงานกิจกรรมต่างๆ ด้วย เพราะหวาดระแวงกลัวได้กินข้าวกินน้ำที่มีสารแคดเมียมตกค้าง อยากให้รัฐและผู้ที่สร้างปัญหา ได้มองเห็นและมีจิตสำนึกในเรื่องนี้ ว่าชีวิตและวิถีของชุมชนกำลังล่มสลาย
ในรายงานของ รพ.แม่สอด ยังระบุถึงโรคพิษแคดเมียมอีกว่า สารแคดเมียม สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง คือทางปาก โดยการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียมเข้าไป เช่นในข้าวหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนแคดเมียม และทางจมูก โดยการหายใจเอาควัน หรือฝุ่นของแคดเมียมเข้าไป เช่น ในเหมืองสังกะสี ซึ่งทำให้เป็นพิษต่อไตซึ่งเป็นอวัยวะที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดอาการปวดเอว กล้ามเนื้อขา กระดูกโค้งงอ กระดูกพรุนและหักได้
ซึ่งเหตุการณ์นี้ระบาดพิษของแคดเมียมในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากโรงงานได้ทิ้งกากแร่ที่มีแคดเมียมและโลหะอื่นๆ ปล่อยน้ำเสียปะปนกับแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าสู่ไร่นาที่ปลูกข้าวและพืชผักต่างๆ ทำให้มีแคดเมียมปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดข้าวและอาหาร เป็นเหตุให้แคดเมียมเข้าสู่ร่างกายเกิดอาการของโรคพิษแคดเมียม ซึ่งการเกิดพิษเรื้อรังมักต้องได้รับแคดเมียมสะสมนานถึง 20-30 ปี
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/477 | 2004-09-25 22:15 | รัฐสั่งไถกลบหน้าดินนาข้าวแก้แคดเมียมปนเปื้อน | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-24 ก.ย.47 รัฐอนุมัติงบฯ กว่า 200 ล้านบาท เร่งให้ทำลายข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม พร้อมกับไถกลบนาข้าวที่ปลูกใหม่ ก่อนจ่ายค่าชดเชย
นายโกวิท เครือวงษ์ ปลัดอำเภอแม่สอด จ.ตาก เปิดเผยกับ"ประชาไท" ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับจังหวัดตาก แต่งตั้งคณะทำงานจัดการข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม บริเวณลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งได้จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลกระทบในระดับจังหวัด ซึ่งได้แยกเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตั้งแต่ปี 2547-2549 โดยได้เสนอขออนุมัติจากส่วนกลางในวงเงินทั้งสิ้น 206,665, 232 บาท ซึ่งกำลังดำเนินการในแผนระยะแรก
"ขณะนี้ เราได้ทำลายเผาข้าวที่มีสารแคดเมียมปนเปื้อนไปแล้วกว่า 90 ตัน แต่ยังคงค้างอยู่ในยุ้งฉางอีกประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งทางอำเภอเป็นฝ่ายกำจัดทำลาย หลังจากนั้น จะมีการไถกลบต้นข้าวที่ปลูกใหม่เพื่อทำลายไม่ให้สารปนเปื้อนเล็ดลอดกระจายออกไปสู่ภายนอก พร้อมกับการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกร" นายโกวิทย์ กล่าว
นายสมพงษ์ สาธุสถิต ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพะเด๊ะ ม.4 ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก เปิดเผยว่า หลังจากที่องค์กรเอกชนต่างชาติ บริษัท Internationnal Water Management Institute (IWMI) ได้ทำการสำรวจปัญหาการปนเปื้อนสารแคดเมียมในข้าวและพืชผลการเกษตรของชาวบ้านในเขตลุ่มน้ำห้วยแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก และพบว่า มีสารปนเปื้อนในเมล็ดข้าว รวมทั้งยังตรวจพบว่ามีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในลำห้วยแม่ตาว และในพื้นที่ปลูกข้าวลุ่มน้ำแม่ตาวจริง
"รัฐแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยยอมรับว่ามีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในเมล็ดข้าวจริง แล้วจ้างให้โรงสีข้าวศิลป์รุ่งเรืองมารับซื้อข้าวที่มีสารแคดเมียมปนเปื้อนไปเผาทิ้ง ซึ่งได้จ่ายค่าชดเชยให้เกวียนละ 3,300 บาท"
"
ทำไมไม่ไปแก้ที่ต้นเหตุ โดยให้มีการตรวจสอบว่า สาเหตุที่มีสารแคดเมี่ยมปนเปื้อนในนาข้าว ลำห้วย และในร่างกายของชาวบ้านนั้น มาจากการที่เหมืองแร่ปล่อยน้ำเสียทิ้งกากแร่ที่มีสารแคดเมียมลงไปในแหล่งน้ำ ไร่นาหรือไม่" นายสมพงษ์ กล่าว
นายวิชิต กิจวิโรจน์กุล สมาชิก อบต.พระธาตุผาแดง เปิดเผยว่า ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ชาวบ้านที่ป่วยด้วยโรคพิษแคดเมียม ซึ่งอยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงหลังจากมีการตรวจพบว่า มีผู้ที่ได้รับสารแคดเมี่ยมในร่างกายสูงถึง จำนวน 795 ราย ในเขตพื้นที่ 3 ตำบล คือ ต.พระธาตุผาแดง ต.แม่กุ และต.แม่ตาว โดยเฉพาะที่บ้านพะเด๊ะ มีผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 78 ราย ซึ่งทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กันอย่างหวาดวิตก"
"ทำไมรัฐไม่ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด โดยไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดว่า ต้นเหตุที่เกิดปัญหานี้มาจากส่วนไหน อยากให้ความเป็นธรรมและรับผิดชอบในที่สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ให้บริษัทเหมืองแร่ผาแดง มารับผิดชอบเพียงเอารถมาขนข้าวเปลือกไปทำลาย กับมารับ-ส่งชาวบ้านที่ป่วยด้วยสารแคดเมี่ยมไปโรงพยาบาลเท่านั้น" นายวิชิต กล่าว
นายโกวิท เครือวงษ์ ปลัดอาวุโส อ.แม่สอด ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกว่า ในกรณีนี้ ทางกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงมาทำการตรวจสอบในพื้นที่กันเอง โดยไม่มีการประสานงานกับทางอำเภอและจังหวัดแต่อย่างใด พอเป็นข่าวขึ้นมา จึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในอำเภอแม่สอด รวมทั้งการซื้อขายและการบริโภคข้าวในจังหวัดทันที โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่บ้านพะเด๊ะ ถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ขึ้นชื่อ เคยชนะเลิศการประกวดข้าวในระดับประเทศมาแล้ว
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/478 | 2004-09-25 22:31 | สัมภาษณ์พิเศษ "ไชยประเสริฐ พมโสภา" คณะกรรมการพลังงานแห่งซาดลาว | "ไม่มีเหตุผลอะไรที่ธนาคารโลกจะไม่สนับสนุนโครงการน้ำเทิน 2"
สัมภาษณ์พิเศษ "ไชยประเสริฐ พมโสภา" คณะกรรมการพลังงานแห่งซาดลาว
ภายหลังการจัดการประชุมเพื่อระดมความเห็นเกี่ยวกับโครงการน้ำเทิน 2 รอบสุดท้ายที่เวียงจันทน์เสร็จสิ้นลงเสมือนระฆังสัญญาณหมดเวลาสำหรับการร่วมแสดงความเห็นจากประชาคมโลก จากนี้โครงการน้ำเทิน 2 จะถูกดำเนินการต่อไปอย่างไร หรือเพียงรอการตัดสินใจจากธนาคารโลกเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวประชาไท มีโอกาสสัมภาษณ์ นายไชยประเสริฐ พมโสภา หัวหน้าสำนักเลขานุการคณะกรรมการพลังงานแห่งซาดลาว องค์กรซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบโครงการน้ำเทิน 2 ในส่วนของรัฐบาลลาวว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป และรัฐบาลลาวคาดการณ์อนาคตของโครงการน้ำเทิน 2 ไว้เช่นใด
ประชาไท : หลังจากการประชุมเกี่ยวกับเขื่อนน้ำเทิน 5 ครั้งเสร็จสิ้นลงแล้วทางการลาวจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ไชยประเสริฐ : หลังจากจบการเวิร์กช็อป 5 ครั้งทางการลาวจะดำเนินการสืบต่อปรับปรุงเอกสารทางสิ่งแวดล้อม ทางสังคมในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของทางรัฐบาล เช่นส่วนที่เป็นเอกสารการศึกษาเกี่ยวกับป่ายอดน้ำ (ต้นน้ำ) ของโครงการน้ำเทิน 2
หลังจากนั้นก็จะได้มาปรับสัญญาสัมปทานของน้ำเทิน 2 ในภาคส่วนที่เกี่ยวพันกับความรับผิดชอบของผู้ลงทุนและรัฐบาลในการปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมโดยอิงอาศัยเสียงสะท้อนของการประชุมที่ผ่านมา
ประชาไท : จากการประชุมทั้งหมด 5 ครั้ง มีประเด็นใดบ้างที่ต้องไปแก้ไขเป็นพิเศษ
ไชยประเสริฐ : การศึกษานั้นอยู่ในเอกสารสิ่งแวดล้อมสังคมโดยเฉพาะแล้ว เพียงแต่ผลสะท้อนของประชุมนี้ทำให้เอกสารนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น
ส่วนสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐบาลกับบริษัทน้ำเทิน 2 ก็จะแบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจนระหว่างรัฐบาลกับบริษัทน้ำเทิน 2
ประชาไท : ขณะนี้รัฐบาลลาวเกี่ยวข้องกับโครงการน้ำเทิน 2 ใน 2 สถานะคือ ด้านหนึ่งในฐานะผู้ให้สัมปทาน กับอีกด้านหนึ่งคือผู้ถือหุ้น และจากนี้ไปจะแยกบทบาทออกมาให้ชัดเจนขึ้น
ไชยประเสริฐ : ใช่ ถูกต้อง
ประชาไท : ในส่วนของโครงการน้ำเทิน 2 จะยังคงดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ หรือว่าต้องรอการตัดสินใจจากธนาคารโลก
ไชยประเสริฐ : ธนาคารโลกจะรอรับเอกสาร safegard document ซึ่งมี 3 ภาค ภาคที่ 1 ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลลาวคือการศึกษาสิ่งแวดล้อมสังคมอยู่ในป่ายอดน้ำ ภาคที่ 2 แผนการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสังคมบริเวณเขื่อนเก็บน้ำ และเขตลุ่มน้ำ ภาคที่3 แผนการพัฒนาสังคม social development plan โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่ง 2 ภาคหลังนี้เป็นความรับผิดชอบของบริษัทน้ำเทิน 2 ถ้า 3 ภาคนี้สำเร็จแล้วจะเสนอให้กับธนาคารโลก
และตามแผนการหลังจากการประชุมครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วอีกประมาณ 2 อาทิตย์ก็จะประมวลความเห็น และเสียงสะท้อนทั้งหมดส่งให้กับธนาคารโลกประมาณท้ายเดือนตุลาคม ธนาคารโลกก็จะเริ่มดำเนินการพิจารณา และตามแผนการแล้วในปลายเดือนเมษายน ปี 2005 ธนาคารโลกก็จะตัดสินใจว่าจะสนับสนุนโครงการหรือไม่
ประชาไท : ระหว่างนี้ก็คือทำการศึกษาและเสนอต่อธนาคารโลกเพื่อรอการตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง
ไชยประเสริฐ : ถูกต้อง
ประชาไท : เอกสารทั้งของรัฐบาลลาวและบริษัทน้ำเทิน 2 ที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมสามารถติดตามได้จากไหนบ้าง
ไชยประเสริฐ : เอกสารทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเอกสารด้านสิ่งแวดล้อมสังคม และเอกสารด้านเทคนิค ทั้งเอกสารเกี่ยวกับน้ำเทิน 2 ทั้งหมดอยู่ในเว็บไซต์ของคณะกรรมการพลังงานแห่งซาดhttp://www.poweringprogress.org [1]ซึ่งมีการ update เป็นระยะ ๆ
ประชาไท : การตัดสินใจของธนาคารโลกมีผลมากน้อยแค่ไหนต่อการดำเนินการของโครงการนี้ เพราะว่าในขณะนี้บริษัทน้ำเทิน 2 ก็ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟจากกับรัฐบาลไทยไปแล้ว
ไชยประเสริฐ : ในปี 1997 ก่อนที่ธนาคารโลกจะตัดสินใจมาทำงานร่วมกับรัฐบาลในโครงการน้ำเทิน 2 เขาก็ได้วางกรอบการตัดสินใจไว้ 3 กรอบ กรอบที่ 1 โครงการนี้ต้องเป็นโครงการที่แก้ไขความทุกข์จนของประชาชนในประเทศลาว เป็นโครงการที่เพิ่มความเข้มแข็งของรัฐบาล(governance)
กรอบที่ 2 โครงการต้องได้รับการออกแบบให้มีการปกป้องสิ่งแวดล้อม สังคมและมีประสิทธิผลทางด้านเศรษฐกิจสังคม
กรอบที่ 3 โครงการน้ำเทิน 2 ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่เป็นชนเผ่าในเขตโครงการ และประชาคมสากล และผ่านการสรุปของธนาคารโลกที่ได้เห็นจากข้อสรุปของท่านเอียน พอร์เตอร์ ผู้อำนวยการประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกแยงใต้ที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ในการประชุมครั้งนี้ โดยทั้ง 3 กรอบได้ก้าวถึงขั้นสุดท้ายแล้ว และเขาก็มีความพอใจในการปฏิบัติที่ผ่านมาทั้ง 3 กรอบ
ฉะนั้นแล้วอิงอาศัยการตีราคาของธนาคารโลกต่อการปฏิบัติที่ผ่านมาทั้ง 3 กรอบ ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุผลนอกเหนือใด ๆ ที่ธนาคารโลกจะไม่สนับสนุนโครงการน้ำเทิน 2
ประชาไท : ทางการลาวมั่นใจว่าธนาคารโลกจะให้การสนับสนุนโครงการนี้อย่างแน่นอน
ไชยประเสริฐ : ถูกต้อง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ธนาคารโลกจะไม่สนับสนุนโครงการน้ำเทิน 2
พิณผกา งามสม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/481 | 2004-09-25 22:43 | มหาชนหาเสียงเสนอปฏิญญายะลาดับไฟใต้ | ศูนย์ข่าวภาคใต้- 25 ก.ย. 47 เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานพรรคมหาชน ได้ประกาศปฏิญญายะลา ว่าด้วยแนวทางการพัฒนาชุมชนไทยมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงแรมยะลาชางลี อำเภอเมืองจังหวัดยะลา พร้มกับการเปิดตัวผู้ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้ง ใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ท่ามกลางประชาชนที่เข้าร่วมเกือบ 2 พันคน
สำหรับปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งของพรรคมหาชน ระบุว่า จะพัฒนาฟื้นฟูชุมชนไทยมุสลิมให้มีความเจริญก้าวหน้า เท่าเทียมกับชุมชนอื่นทั่วประเทศไทย จะให้ความเคารพต่ออัตลักษณ์แห่งศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย โดยกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งมีสาระสำคัญได้แก่
ประการที่ 1 ดำเนินการทุกวถีทางที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแนวทางเศรษฐกิจของศาสนาอิสลาม รวมทั้งสนับสนุนให้ทุกชุมชนจัดตั้งกองทุนซะกาต 2.เสนอกฎหมายการจ่ายซะกาต(ภาษีศาสนา)แก่กองทุนขุมชนของชาวไทยมุสลิม
3.สนับสนุนให้ปัตตานีพัฒนาเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลามของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ 4.สนับสนุนวิธีแก้ปัญหาระหว่างครอบครัวชาวไทยมุสลิม ด้วยการใช้ระบบอนุญาโตตุลาการในการแก้ไขข้อพิพาท เสนอให้กระบวนการยุติธรรมของรัฐยอมรับวิธีการของชุมชนมุสลิม ที่เรียกว่า ดาโต๊ะยุติธรรม และศาลชารีอะฮ์ เป็นพื้นฐานการจัดการปัญหาและขจัดข้อพิพาทด้านมรดกและครอบครัว
5. ส่งเสริมสถาปนาความยุติธรรมในทุกมิติอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง 6.สนับสนุนการเรียนภาษาท้องถิ่นควบคู่กับภาษไทย และ 7.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อบ้านและกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง รวมทั้งถอนทหารออกจากอีรักทันทีหากได้เป็นรัฐบาลและขจัดรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/482 | 2004-09-25 22:48 | นักวิชาการชี้ GMO เอื้อกลุ่มทุนข้ามชาติ | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-24 ก.ย.47 ที่ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการเสวนาเรื่อง การค้าเสรี และจีเอ็มโอ ภายใต้รัฐบาลทักษิณ ชี้ GMO ให้ผลประโยชน์แก่กลุ่มทุนและบริษัทข้ามชาติ
นายเกียรติ สิทธิอมร ประธานหอการค้านานาชาติไทย กล่าวว่า กรณีการเจรจาการค้าเสรีและ
จีเอ็มโอ นั้นมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ ไม่ว่าเกษตรกรหรือผู้บริโภค ดังนั้นเรื่องเหล่านี้เมื่อมีผลกระทบในวงกว้าง จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเป็นสิทธิชอบธรรมในระบอบรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 224 หรือ มาตรา 63
"ดูตัวอย่าง แม้กระทั่งในสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย ก่อนที่เขาจะทำการตกลงทางการค้า จะต้องเสนอต่อผ่านสภา ก่อนมีการอนุมัติเห็นชอบ แต่ประเทศไทยเราไม่ได้ผ่านสภาฯ แต่อย่างใด"
นายเกียรติ กล่าว
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.องค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย กล่าวว่า เราถูกทำให้เชื่อว่า จีเอ็มโอ ช่วยทำให้เพิ่มปริมาณทางผลผลิต และสามารถช่วยลดการใช้สารเคมี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดๆ ให้กับประชาชน จะสังเกตได้ว่า ความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นนั้นมีหลายวิธีการ อย่างกรณี ใช้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศทำการวิจัยรายงานที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม สร้างความเชื่อโดยอาศัยหน่วยงานของรัฐ เช่น กรมวิชาการเกษตร หรือ ไบโอเทค ที่ล้วนสนับสนุนจีเอ็มโอ
"อย่างเรื่องการทดลองปลูกมะละกอแขกดำ ท่าพระ ทำให้มองเห็นว่า นักวิชาการเป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ที่นำใบมะละกอที่มีเชื้อรา ไปให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล ในสหรัฐฯ ฉีดยีนจีเอ็มโอ ก่อนจะนำกลับมาทดลองในเมืองไทย แต่สุดท้าย ทางสหรัฐฯ ได้แอบจดทะเบียนสิทธิบัตรทั้งมะละกอและไวรัสตัวนั้นเรียบร้อย " นายวิฑูรย์ กล่าว
นายวิฑูรย์ ยังกล่าวอีกว่า ขีดความสามารถของ จีเอ็มโอ ก็คือต้องการผลิตเพื่อควบคุมเมล็ดพันธุ์และสายพันธุ์ ซึ่งจากการสำรวจในปัจจุบัน เราจะรู้ว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้แอบแต่งงานกับมอนซานโต้กันเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ควบคุมจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักและพืชไร่ 90% เป็นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และสารเคมีหรือยากำจัดศัตรูพืช 30% เป็นของมอนซานโต้
"ขณะนี้ เหลือเพียงเมล็ดพันธุ์ข้าวเท่านั้น ที่ยังอยู่ในมือของชาวบ้าน หากพวกเขาเข้ามายึดได้ ก็เหมือนกับว่าเขายึดประเทศไทยทั้งหมด" นายวิฑูรย์ กล่าว
อ.สุรัตน์ โหราชัยกุล จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จีเอ็มโอ ทำให้มองเห็นถึงเรื่องกรรมสิทธิ์ ซึ่งนำไปการผูกขาด หลังจากนั้นจึงเกิดการครอบงำ ถือว่าเป็นระบบจักรวรรดินิยมอเมริกาที่รุกเข้าครอบครองทุกประเทศโดยไม่จำเป็นต้องนำกำลังอาวุธเข้ายึดพื้นที่โดยตรง แล้วในที่สุด เสรีภาพของเกษตรกรไทย จะกลายเป็นของบรรษัทข้ามชาติ
"ดังนั้น ทุกคนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิที่จะเลือกอาหารใส่เข้าไปในร่างกาย เพราะเป็นร่างกาย เมื่อมันอันตราย มันเกิดผลกระทบ นั่นคือคุณกำลังละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน" อ.สุรัตน์ กล่าว
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/484 | 2004-09-25 22:58 | อบต.สะกอมเตรียมเลิกมติยกที่ให้ท่อใต้ | ประชาไท-24 ก.ย. 47 นายกอบต.สะกอมขานรับ เลิกมติยกที่ดินสาธารณะสร้างท่อก๊าซไทย-มาเลย์ หลังชาวบ้านจะนะรุกยื่นหนังสือ พร้อมรังวัดที่ปักเขต 762 ไร่ ร้องเอาที่สาธารณะคืน ด้านแกนนำค้านท่อชี้กระบวนการไม่โปร่งใส
เมื่อเวลา 9.30น. กลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เดินทางไปยังที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลาเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ในการดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ
โดยหนังสือระบุว่านายก อบต.สะกอม ได้กระทำการโดยพลการในการอนุมัติเห็นชอบให้บริษัททีทีเอ็มแลกเปลี่ยนที่ดินของบริษัทกับทางสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ก่อสร้างโรงแยกก๊าซ เพื่อสร้างโรงแยกก๊าซและวางท่อก๊าซ
นายเสรี เจ๊ะหวังหมะ นายกองค์บริหารส่วนตำบลสะกอมได้รับข้อเสนอชาวบ้าน โดยจะรีบดำเนินการออกหนังสือจากอบต. ยกเลิกมติเดิมที่มีการยกที่ดินสาธารณะให้โครงการท่อก๊าซ
นายเซ็น หมัดเมาะ อดีตกำนันตำบลสะกอม กล่าวว่า กลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซมายื่นหนังสือให้อบต.สะกอม เนื่องจากทราบว่าการดำเนินการยกที่ดินสาธารณะให้โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซใช้วิธีไม่โปร่งใส่
"นายกอบต.คนเก่าเซ็นหนังสือเพียงคนเดียว อนุมัติให้บริษัททีทีเอ็มแลกเปลี่ยนที่ดินของบริษัทกับทางสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ก่อสร้างโรงแยกโดยไม่ผ่านมติอบต.และแอบเซ็นวันสุดท้ายก่อนหมดอำนาจการเป็นสมาชิกอบต." นายเซ็น กล่าว
โดยหลังจากรับหนังสือ อบต.ให้ชาวบ้านไปเป็นพยานชี้เขตแดนที่สาธารณะของตำบลสะกอม ซึ่งจากการสำรวจของปรากฏว่าที่สาธารณะเหลืออยู่ประมาณ 762 ไร่ชาวบ้านจึงดำเนินการปักหลักแนวเขตให้ชัดเจนเพื่อกันการบุกรุก
ศิริรัตน์ อนันต์รัตน์
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/480 | 2004-09-25 22:41 | โต้ค้นบ้าน "อุสตาซ" ไม่เกี่ยวโรงเรียน | ผู้จัดการโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิโต้กรณีพบบัตรครูสอนศาสนา ปัจจุบันไม่ได้เป็นครูสอนศาสนาแล้ว เป็นแค่คนคุมรถนักเรียนเท่านั้น
ประชาไท-25 ก.ย.47 นายมะดาโอ๊ะ มะดาเฟ ผู้จัดการโรงเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อ.เมือง จ.ยะลา กล่าวว่า จากกรณีที่ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ตรวจค้นบ้านพัก ของนายอาหมัด ตืองะ ในซอยจะตะกิยา เทศบาลนครยะลา พบเครื่องกระสุนจำนวนมาก และพบบัตรประจำตัวของครูสอนศาสนา (อุสตาส) โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 47 นั้นปัจจุบันนายอาหมัด ไม่ได้เป็นครูสอนศาสนามาหลายปีแล้ว ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมรถรับส่งนักเรียนเท่านั้น
นายมะดาโอ๊ะกล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนหมู่มากย่อมต้องมีทั้งคนดีและไม่ดีแต่ละคนจะมีความคิดอย่างไรไม่สามารถรู้ได้ เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับโรงเรียน สำหรับผลกระทบทางโรงเรียนนั้นขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วเพราะมักมีชื่อของโรงเรียนเข้าไปเกี่ยวข้องมาตลอด
" ตอนนี้พยายามแก้ปัญหาอยู่ การแก้ปัญหาตรงที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น โรงเรียนก็ต้องยอมเจ็บปวดบ้าง คือถ้าครูคนใดคนหนึ่งเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้โรงเรียนก็ต้องให้ออกทันที " นายมะดาโอ๊ะกล่าว
นายมะดาโอ๊ะกล่าวอีกว่าสำหรับมาตราการควบคุมดูแลครูทางโรงเรียนจัดการโดยการจัดกลุ่มครูตามหมวดหมู่วิชาที่สอน ให้ควบคุมกันเองนอกจากนี้ยังให้ทำประวัติครูทุกคนและครูที่จะเข้าสอนในโรงเรียนต้องมีใบอนุญาตจากผู้บริหารโรงเรียน
ส่วนครูที่ไม่ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำก็ต้องมีใบอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ในการทำประวัติก็คงจะไม่มีใครกรอกประวัติที่ไม่ดีของตัวเองแน่นอน ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ยาก ส่วนเด็กนักเรียนนั้นจะมีการควบคุมดูแลเป็นรายบุคคลโดยครูหนึ่งคนดูแลเด็กนักเรียนสิบห้าคนตอนนี้มีนักเรียนทั้งหมด 6,470 คน ครู 577 คน นายมะดาโอ๊ะกล่าว
นายมะดาโอ๊ะกล่าวต่อว่านักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะโรงเรียนได้มีการประชุมชี้แจงมาตลอดว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ถ้าหากมีเจ้าหน้าที่จะขอตรวจค้นก็ให้ทุกคนให้ความร่วมมือด้วยเพื่อแสดงความบริสุทธิใจ นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงกับครูและผู้ปกครองนักเรียนด้วย
"สำหรับโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ในสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารถือว่าดีมาก ทั้งนี้จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทราบว่าเป็นโรงเรียนที่ให้ความร่วมมือกับทางราชการดีมาก" นายมะดาโอ๊ะกล่าว
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/483 | 2004-09-25 22:54 | เปิดบัญชีพื้นที่อนุรักษ์นกไทย | ประชาไท -25 กย. 47 สมาคมอนุรักษ์นกฯเปิดตัวหนังสือ "บัญชีรายชื่อพื้นที่สำคัญเพื่อการอนุรักษ์นกในประเทศไทย" เพื่อหนุนแผนงานด้านการอนุรักษ์
สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ได้จัดให้มีการเปิดตัวหนังสือ "บัญชีรายชื่อพื้นที่สำคัญเพื่อการอนุรักษ์นกในประเทศไทย" ณ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร. เจริญวิชญ์ หาญแก้ว ตัวแทนสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพื้นที่สำคัญเพื่อการอนุรักษ์นก(Important Bird Area - IBA) ซึ่งประสานงานโดยองค์กรอนุรักษ์นกนานาชาติ (BirdLife International) อันมีจุดหมายในการจำแนกพื้นที่ที่มีความสำคัญสำหรับนก ในการดำเนินงานด้านอนุรักษ์นกและถิ่นที่อยู่อาศัย โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการสนับสนุนด้านการพิมพ์จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JBIC)
"พื้นที่สำคัญเพื่อการอนุรักษ์นกนั้นไม่ได้มีความสำคัญแต่สำหรับนกเท่านั้น แต่มีความสัมพันธ์เกื้อหนุนต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย นอกจากนั้นหลายพื้นที่ยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วย" ดร. เจริญวิชญ์กล่าว
ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/479 | 2004-09-25 22:36 | บทสรุปน้ำเทิน-ข้อคิดจากธนาคารโลก | เวียงจันทน์-25 ก.ย.47 นายเอียน พอร์เตอร์ ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สำนักงานกรุงเทพฯ) กล่าวในที่ประชุมรอบสุดท้ายที่เวียงจันทน์ว่า บทเรียนของธนาคารโลกจากการประชุม น้ำเทิน 2 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 4 ครั้ง (กรุงเทพฯ โตเกียว ปารีส วอชิงตันดีซี) มี 6 ประเด็นที่รัฐบาลลาวและบริษัทน้ำเทิน 2 ต้องตระหนักเพิ่มขึ้นในการดำเนินโครงการน้ำเทิน 2 คือ
1. ช่องว่างระหว่างการพัฒนากับสิ่งแวดล้อมและผู้คนที่ต้องอพยพถิ่นฐาน
2. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการน้ำเทิน 2
3. ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรที่ต้องละทิ้งถิ่นฐานของตนเอง
4. การให้ความสำคัญกับ "ประชาสังคม" (Civil Society) ของรัฐบาลลาว
5. การเลือกให้ความสำคัญระหว่างอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและตัวเลือกในการพัฒนาประเทศ
6. ระยะเวลาและผู้เข้าร่วมที่สามารถเข้าร่วมการประชุมระดมความเห็นที่จำกัด
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/486 | 2004-09-27 16:03 | แปลงประเทศให้เป็นทุนของใคร? | คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความชื่นชมงานโรดโชว์ประเทศไทย (ไทยแลนด์ โฟกัส 2004) ซึ่งจัดให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะว่า สามารถสร้างความเข้าใจในภาพรวมความน่าลงทุนของประเทศทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชนได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจจากไทยรักไทยแต่ละท่านแจกแจง ได้เชื่อมต่อภาพร่าง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาลไทยรักไทย" ปัจจุบันและต่อไปอย่างน้อย 10 ปี (2548-2557) ผ่านแผนการลงทุนในเมกกะโปรเจค อาทิ โครงการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ส่วนต่อขยาย ระยะทาง 291 กิโลเมตร โดยรวมต้องใช้เงินลงทุนถึง 1.226 ล้านล้านบาท
ที่สำคัญ แนวนโยบายส่วนใหญ่อยู่บนฐานความคิดที่จะแปรรูปองค์กรและการบริหารจัดการให้เป็นเอกชน(Privatization) โดยตั้งเป็นบริษัทเข้าบริหารโครงการ และนำเข้าระดมทุนจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อันที่จริงแนวคิดเรื่องการทำกิจการของรัฐให้เป็นเอกชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในงานเดียวกันรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ได้ประกาศเดินหน้าแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน รวมทั้งขยายการลงทุนออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งใกล้และไกล "เพราะรัฐต้องใช้เงิน 6 หมื่นล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าใน 10 ปีข้างหน้า " (มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 23 ก.ย. 2547 หน้า16)
ตรรกะของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ คือ การสร้างองค์กรธรรมภิบาลที่ทรงประสิทธิภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ ภายใต้กลไกตลาด(หลักทรัพย์) ซึ่งเชื่อกันว่า สร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้พูดให้ชัดในเบื้องต้น แต่แสดงออกในงานโรดโชว์ประเทศไทยที่ผ่านมา ก็คือ ต้องการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยใช้ทรัพย์สิน การลงทุนของภาครัฐเป็นตัวดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ
จริงอยู่ว่า เจตจำนงดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งนายกรัฐมนตรียังเคยชี้แจงผ่านสื่อมวลชนหลายครั้งว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะช่วยพัฒนาให้ภาคการผลิตของไทยเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นการดีเสียอีกที่ต่างชาติเห็นว่า ไทยมีเสถียรภาพทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมืองหากผู้บริหารประเทศมีความต่อเนื่อง
แต่เม็ดเงินลงทุนที่สูงมาก(1.2 ล้านล้านบาท) ทำให้สภาพัฒน์ฯ แสดงความวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจประเทศจะประสบกับปัญหาตามมา เพราะสภาพขาดดุลการค้าจากการนำเข้าสินค้าทุน 5 ปีติดต่อกัน
ที่สำคัญเป็นการซ้ำเติมโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบนำมาผลิตเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่
ทั้งไม่ต้องคิดเทียบกับเม็ดเงินงบพัฒนาด้านอื่นๆ เช่น งบประมาณด้านการศึกษา ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของรัฐบาล ซึ่งนับวันเม็ดเงินจะลดน้อยลงเรื่อยๆ กล่าวคือ ร้อยละ 44 ในปีงบประมาณ 2545 ร้อยละ 17.7 ในปีงบประมาณ 2546 ร้อยละ 15.5 ในปี 2547 และ ร้อยละ 15 ในปี 2548 หรือเฉลี่ยร้อยละ 6.8 ต่อคน ( ข้อมูลจากพรรคประชาธิปัตย์ , วันที่ 6 มิ.ย. 2547)
ในทางกลับกันรัฐกลับใช้ช่องว่างโอกาสทางการศึกษาของประชาชน คิดโครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ผู้นำรัฐบาลว่า ให้ความสนใจกับการศึกษาของเยาวชนของประเทศ คือ กรณีโครงการ 1อำเภอ 1ทุน ซึ่งมีช่องโหว่ในการเตรียมการมากมาย ทั้งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรือยกระดับการศึกษาโดยรวมของคนทั้งประเทศแม้แต่น้อย
สุดท้ายก็ต้องกลับมาตั้งคำถามซ้ำซากกับรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า หากไม่ใช่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ใครกันแน่ที่ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศที่รัฐบาลดึงมาสนับสนุนอยู่ทุกวันนี้
บรรณาธิการบันทึก
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/485 | 2004-09-25 23:00 | ท่อก๊าซจะนะทำบ้านพังอีก 4 หลัง | ศูนย์ข่าวภาคใต้-24 ก.ย.47 นายวิรุณ คงปาล สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลนาหม่อม อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ในฐานะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการสิ่งแวดล้อม โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย - มาเลเซีย (กรรมการไตรภาคีฯ) เปิดเผย "ประชาไท" ว่า ระหว่างการขุดเจาะพื้นดินเพื่อวางท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซีย ลอดถนนทางเข้าบ้านแม่เปี๊ยะ หมู่ที่ 3 ต.คลองหรั่ง อ.นาหม่อม เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา มีบ้านของชาวบ้านร้าวเพิ่มขึ้นมาอีก 4 หลังคาเรือน
นายวิรุณ เปิดเผยว่า ตนจะนำกรณีนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการไตรภาคีฯ ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ปัญหา เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับคำตอบจากบริษัท นาแคปเอเชียแปซิฟิก (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้รับเหมาวางท่อส่งก๊าซว่า จะแก้ปัญหาบ้านร้าวอย่างไร ถึงแม้เจ้าหน้าที่ของบริษัท นาแคปฯ เข้ามาสำรวจความเสียหายแล้วก็ตาม
นายวิรุณ เปิดเผยอีกว่า สำหรับบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้ง 4 หลัง เป็นบ้านของนางบุญล้อม พรหมแก้ว นายอารักษ์ ยอดประสิทธิ์ นายเลิศ ยอดประสิทธิ์ และนางพรพรรณ เสนาจิต ซึ่งปลูกอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 43 ห่างจากจุดติดตั้งเครื่องเจาะดินประมาณ 100 เมตร และห่างจากบ้านของนางปลอด แก้วเดิม ที่ได้รับความเสียหายบ้านร้าวจากการขุดเจาะพื้นดิน เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2547 ที่ผ่านมา ไม่มากนัก
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/487 | 2004-09-27 16:31 | "นักวิจัยจีเอ็มโอ" มุมมองในแว่นใหม่ | "ผมไม่รู้ว่าการทำลายแปลงมะละกอของนักวิจัยครั้งนี้ จะทำให้งานวิจัยสะดุดไป หรือเขาจะหยุดทำเพราะความสะเทือนใจหรือไม่ เราไปบังคับเขาไม่ได้คนพวกนี้" นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ผอ.กองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตรสะท้อนความห่วงใยเกี่ยวกับการวิจัยให้ "ประชาไท" ฟัง หลังมีการทำลายแปลงทดลองมะละกอจีเอ็มโอในสถานีทดลองพืชสวนท่าพระ
"ผมสงสารนักวิจัยของผม เขายังร้องไห้อยู่ตลอดจนถึงตอนนี้ กว่าเขาจะศึกษาออกมาได้ใช่เรื่องง่ายๆ ใช้เวลาเป็นสิบยี่สิบปี และเหลืออีก 3 เดือนก็จะจบโครงการแล้ว" นายอนันต์เล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
แน่นอน ว่าจำเลยสำคัญของเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น เจ้าของโครงการวิจัยมะละกอจีเอ็มโอ ซึ่งก็คือ ดร.วิไล ปราสาทศรี ผอ.สถานีทดลองพืชสวนท่าพระ นักวิจัยตัวเล็กๆ ที่แหล่งข่าวหลายแหล่งต่างการันตีถึงความเชื่อมั่นและความดื้อรั้น "กระทั่งมีการตรวจพบมะกอที่แพร่ะกระจายแล้ว เธอก็ยังยืนยันว่าควบคุมอย่างดี ไม่มีการหลุดรอด" ผอ.กองคุมคุมโรคกล่าว
ด้านผู้เชี่ยวชาญในกองควบคุมพืช ซึ่งมีความสนิทสนมกับดร.วิไล เล่าให้ฟังว่า ได้มีการโทรศัพท์ไปพูดคุยให้กำลังใจดร.วิไล เป็นระยะ จนขณะนี้เธอยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
"พี่เพิ่งคุยกับดร.วิไลเมื่อคืน ตอนนี้แกยังทำใจไม่ได้ถึงกับฉี่เป็นเลือด ต้องกินยานอนหลับทุกคืน ก็บอกให้แกเข้มแข็ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด" แหล่งข่าวกล่าว
"ถ้าจะลงโทษกันถึงพักราชการ กรมฯ ก็ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว แกเป็นนักวิจัยที่ทำงานเต็มที่ด้วยความตั้งใจดี การหลุดรอดไปมันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เอาง่ายๆ เวลาผู้ใหญ่เอย นักข่าวเอยลงพื้นที่ ก็มีการปลอกมะละกอจีเอ็มโอรับรองทั้งนั้น ใครจะไปคุมลูกจ้างได้ขนาดนั้น เขารู้ว่าเป็นของดีเก็บเข้ากระเป๋าคนละไม่กี่เมล็ดก็ได้ เป็นคุณคุณไม่อยากได้หรือ" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวระดับสูงในกรมวิชาการเกษตรชี้แจงถึงนัยระหว่าง "การหลุดรอด" กับ "การปนเปื้อน" ของมะละกอจีเอ็มโอว่า ถ้าเป็นการปนเปื้อนแปลว่ากรอบระเบียบของการวิจัยผิดพลาด ต้องมีการแก้ไขใหม่ในเรื่องระยะห่างหรือการป้องกันต่างๆ แต่ถ้าเป็นการหลุดรอดก็ต้องหาคนผิด แล้วเร่งดำเนินการ
"แต่ถึงอย่างไร งานนี้กรมวิชาการเกษตรก็มีความผิด ต้องมีการตรวจสอบและสอบสวนกัน ตอนนี้ห้องแลบก็ตรวจตัวอย่างมะละกอกันไม่หวาดไม่ไหว ยังเก็บใส่ช่องแข็งไว้เต็มไปหมด เพราะถึงวันนี้ไม่ใช่แค่สุ่มตรวจ แต่ต้องตรวจทั้งหมดที่แจกจ่ายไป" แหล่งข่าวคนดังกล่าวระบุ
ผอ.กองควบคุมพืชฯ ยังอธิบายถึงบุคลิกภาพเฉพาะของนักวิจัยให้ฟังว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นภายนอก นอกจากงานวิจัยของเขาเท่านั้น ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติและดึงเอาศักยภาพของพวกเขาออกมาให้เป็นประโยชน์
"ช่วงที่มีปัญหาเรื่องการเงิน นักวิจัยบางคนถึงกับเอาเงินตัวเองมาใช้วิจัย เพราะเหลืออีกนิดเดียวก็จะจบอยู่แล้ว นี่คือจิตวิญญาณของคนที่เป็นนักวิจัย จิตใจเขาจดจ่ออยู่กับความต้องการสนองตอบทางปัญญา" ผอ.กองควบคุมพืชฯ กล่าว
แม้แต่วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.ไบโอไทย ซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวหอกคนหนึ่งที่คัดค้านจีเอ็มโอ ก็เคยกล่าวหลายครั้งในหลายเวทีว่า โดยส่วนตัวแล้วมิได้เคลือบแคลงสงสัยในความบริสุทธิ์ใจของนักวิจัยโดยเฉพาะผอ.วิไล เขาเชื่อว่าผอ.วิไล จิตวิญญาณของความเป็นนักวิจัย มีความเป็นนักวิชาการสูง และเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่ตนพัฒนาขึ้นมาอย่างจริงใจ
"ที่จริงแล้วถ้าจะไม่เอาจีเอ็มโอแล้วไปเล่นงานนักวิจัยก็ไม่ถูก เพราะนักวิจัยก็ทำตามคำสั่งอีกที" ผอ.กองควบคุมโรคพืชกล่าว
ภายใต้ปัญหานานัปการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม การศึกษาวิจัยเพื่อ "รู้เท่าทัน" ยังคงมีความจำเป็น แต่จากคำบอกเล่าครั้งนี้ เรากลับพบข้อน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกับทิศทางการวิจัยของไทย อันมีจุดเปลี่ยนสำคัญนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยถูกตัดออกไปมาก ฝ่ายกำหนดนโยบายได้หันเหทิศทางงานวิจัยให้มุ่งตอบสนองเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญอย่างชัดเจน ทำให้ขาดความเป็นอิสระทางปัญญา...และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่จนปัจจุบัน.
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/488 | 2004-09-27 20:47 | ทรท. เดินหน้า "รวมพลคนด่ารบ." | กรุงเทพฯ 27 ก.ย.47 นายสุทิน คลังแสง รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีรัฐบาลจะการจัดเวทีรวมพลคนด่ารัฐบาลว่า เพื่อให้ทุกฝ่ายที่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของรัฐบาลได้มีเวทีที่ชัดเจนในการเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา ทั้งไม่อยากให้ประชาชนสับสน และป้องกันมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์
ทั้งนี้รองโฆษกพรรคไทยรักไทย ได้เรียกร้องให้องค์กรต่างๆ รวมทั้งภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์การประชาธิปไตยว่า หากเป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ต้องอดใจรอดูการตัดสินใจของประชาชนหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ถือเป็นการพิพากษาโดยชอบธรรม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/489 | 2004-09-27 20:53 | ไทยร่วมมาเลย์เสนอตั้งประมงพื้นบ้าน 2 ปท. | ศูนย์ข่าวภาคใต้-27 ก.ย.47 นายมาฮามะ บินอูมะ อายุ 55 ปี ประธานชมรมประมงพื้นบ้านชายแดนไทย - มาเลเซีย หมู่ที่ 1 ตำบลเจะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 ก.ย. นี้ จะเสนอเรื่องตั้งชมรมประมงพื้นบ้านร่วมไทย - มาเลเซีย ต่อที่ประชุมสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)
ชมรมฯ ดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันระหว่างชมรมประมงพื้นบ้านฝั่งไทยกับชมรมประมงพื้นบ้านของรัฐกลันตัน มาเลเซีย โดยเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยเรื่องชมรมประมงพื้นบ้านชายแดนไทย - มาเลเซีย เพื่อแก้ปัญหาซ้ำซาก คือ การลักลอบเข้าไปจับปลาในน่านน้ำมาเลเซีย เพราะฝั่งไทยไม่มีปลาให้จับ จนถูกทางการมาเลเซียจับกุมอยู่เป็นระยะ
นายมาฮามะ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ฝั่งไทยมีสัตว์น้ำลดลง เพราะมีเรือประมงพาณิชย์ใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย เช่น อวนลาก อวนรุน ลักลอบเข้ามาจับปลาใกล้ฝั่ง โดยเฉพาะเรืออวนรุนคู่ จะกวาดสัตว์เล็กไปหมด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่คอยปราบปราม อีกทั้งพื้นที่น่านน้ำนอกชายฝั่งบริเวณปากแม่น้ำโก - ลก อยู่ในอาณาเขตของมาลเซีย เมื่อขับเรือออกไปจะเข้าน่านน้ำมาเลเซียทันที
นายมาฮามะกล่าวอีกว่า เมื่อก่อตั้งชมรมประมงพื้นบ้านร่วม 2 ประเทศขึ้นมาแล้ว จะกำหนดเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การเข้าไปจับปลาในฝั่งมาเลเซีย เช่น การจำกัดพื้นที่ เครื่องมือประมงและผู้ที่จะเข้าไปทำประมง โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากนายเจะ อูเซ็ง หัวหน้าสำนักงานประมงรัฐกลันตัน อันสืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวบ้านทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นญาติกัน
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/490 | 2004-09-27 20:55 | ผู้พิพากษาปัตตานีขอย้ายออกแล้ว 2 | ปัตตานี-27 ก.ย. 47 นายจำรัส เพชรสุวรรณ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดปัตตานี ระบุว่า มีผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดปัตตานี จำนวน 2 คน แสดงความจำนงขอย้ายออกนอกพื้นที่
ทั้งนี้ศาลจังหวัดปัตตานีมีผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดปัตตานี 9 คน และมีผู้พิพากษาประจำแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจำนวน 32 คน โดยผู้พิพากษาประจำศาลที่เหลืออีก 7 คน นั้น คาดว่า น่าจะขอย้ายออกทั้งหมด
หลังจากเกิดเหตุคนร้ายลอบยิงผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีเสียชีวิต ทำให้กระทรวงยุติธรรมเสนอให้มีการสับเปลี่ยน โยกย้ายผู้พิพากษาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้( ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ) เป็นกรณีพิเศษ
จากเดิมผู้ที่จะขอย้ายออกได้ต้องทำงานในพื้นที่เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ปรับเป็นแค่ 1 ปี ก็สามารถขอโยกย้ายได้
"จากการสอบถามทุกคนบอกว่า การทำงานในพื้นที่มีความเครียดสูงมาก ทุกคนจึงเห็นตรงกัน ว่าน่าจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน " นายจำรัส กล่าว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/492 | 2004-09-27 21:01 | ทักษิณ มั่นใจหนองงูเห่าเสร็จทันกำหนด | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิจะแล้วเสร็จทันกำหนดแน่นอน โดยคาดว่า จะเปิดให้มีการทดสอบการบินได้ในวันที่ 29 ก.ย. 2548
ทั้งนี้ในส่วนของภาพรวมการก่อสร้างปัจจุบัน คืบหน้าไปกว่า 69% แต่มีบางจุดที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องของระบบสายพานเครื่องควบคุมกระเป๋า งานระบบสื่อสาร สายไฟฟ้า รวมถึงถนนยกระดับทางเข้าสนามบินด้านเหนือ ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปดำเนินการ
ส่วนเมื่อแล้วเสร็จจะเปิดบริการได้ทันทีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับองค์การการบินพลเรือนที่จะต้องทดสอบระบบก่อนออกใบอนุญาตให้อย่างเป็นทางการ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/491 | 2004-09-27 20:57 | กลุ่มต้านท่อก๊าซจะนะมอบตัวสู้คดี | ศูนย์ข่าวภาคใต้-27ก.ย.47 รายงานข่าวแจ้งว่า เวลา 10.30 น. วันที่ 28 ก.ย. นี้ นายวิทวัส มะเด อายุ 44 ปี นาย ดลเลาะ หมินโซ๊ะ อายุ 22 ปี และนาย อาเร็ม อนันทบริพงษ์ อายุ 44 ปี ชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีต่อสู้ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2546 หน้ามัสยิดตรงข้ามลานหอยเสียบ ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา จะเข้ามอบตัวสู้คดี ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอ(สภ.อ.)จะนะ จังหวัดสงขลา
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/493 | 2004-09-27 21:05 | ญี่ปุ่นเปลี่ยนรมว.ต่างประเทศ | โตเกียว-27 ก.ย.47 สำนักข่าวเกียวโดรายงานความคืบหน้าของการปรับคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่นว่า นายจุนอิชิโร่ โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้แต่งตั้งนายโนบุทากา มาชิมูระ ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแทนนางโยริโกะ คาวากูชิ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น
โดยนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังไว้ เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศเป็นไปอย่างมีระบบ หลังจากที่ตัวเลขหนี้สินภาคสาธารณะของประเทศสูงถึง 160% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ซึ่งนับว่าแย่ที่สุดในหมู่ประเทศกลุ่มอุตสาหกรรม
การปรับครม.ครั้งนี้เป็นการปรับครั้งที่ 3 นับตั้งแต่นายโคอิซูมิอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเม.ย. 44 นอกจากตำแหน่งสำคัญทางด้านเศรษฐกิจแล้ว นายโคอิซูมิยังได้ปรับเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการด้านกลาโหมจากนายชิเกรุ อิชิบะ เป็นนายโยชิโนริ โอโน่ ด้วย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/494 | 2004-09-27 22:22 | เกษตรฯ พบมะละกอจีเอ็มโอเฉพาะขอนแก่น | ประชาไท - 27 ก.ย.47 "สมศักดิ์" ยันผลตรวจมะละกอจีเอ็มโอปนเปื้อนเฉพาะขอนแก่น พร้อมตั้งกรรมการตรวจสอบการปนเปื้อน-สิทธิบัตร ส่วนจะเป็นการปนเปื้อนหรือหลุดรอดโดยคน อธิบดีกรมวิชาการเกษตรระบุรอผลแล็ปสัปดาห์หน้า
"กรมวิชาการเกษตรได้ตรวจสอบไปแล้วเกือบทั้งหมด ในพื้นที่ 35 จังหวัด เหลือเพียง 63 รายที่ยังหาตัวไม่พบ ขณะนี้จากการตรวจสอบในห้องปฎิบัติการของกรมวิชาการเกษตร พบการปนเปื้อนของมะละกอจีเอ็มโอทั้งหมด 24 ราย และทั้งหมดอยู่ในจังขอนแก่น จังหวัดอื่นไม่พบ" นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงข่าวที่กรมวิชาการเกษตร หลังมีการประชุมคณะกรรมการเรื่อง GMOs เป็นครั้งที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ส่วนอำเภอที่มีการตรวจสอบพบการปนเปื้อนมะละกอจีเอ็มโอ 24 ราย จาก 86 ตัวอย่างนั้น มีดังนี้ อำเภอเมือง 10 ราย อำเภอบ้านแฮด 2 ราย อำเภอภูเวียง 4 ราย อำเภอโคกโพธิ์ชัย 1 ราย อำเภอชำสูง 1 ราย อำเภอบ้านฝาง 1 ราย อำเภอแวงใหญ่ 1 นสบ อำเภอหนองเรือ 1 ราย อำเภออุบลรัตน์ 2 ราย และอำเภอพล 1 ราย
นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ผลการตรวจสอบดังกล่าวเป็นไปตามรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์และกล้ามะลกอพันธุ์แขกดำท่าพระจากสถานีทดลองพืชสวนท่าพระ จ.ขอนแก่น จำนวน 2,345 รายจาก 35 จังหวัด และเหลือเกษตรกรที่ยังหาตัวไม่พบอีก 63 ราย ทั้งนี้ จำนวนรายชื่อทั้งหมดมี 2,669 ราย แต่มีชื่อที่ซ้ำซ้อนกันจำนวน 261 ราย
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรในจังหวัดขอนแก่นรับพันธุ์จากสถานีทดลองพืชสวนขอนแก่นไปประมาณร้อยละ 80 ของทั้งหมด ส่วนเกษตรกรในพื้นที่อื่นๆ ที่รับพันธุ์ไปตามรายชื่อมีทั้งหมด 37 จังหวัด ภาคกลางจำหน่ายไป 10 จังหวัดมี 41 ราย ภาคเหนือจำหน่ายไป 5 จังหวัดมี 13 ราย ภาคใต้จำหน่ายไป 3 จังหวัดมี 6 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำหน่ายไป 19 จังหวัดมี 2,608 ราย และเฉพาะจังหวัดขอนแก่นมี 2,255 ราย
ไม่ใช่จีเอ็มโอพันธุ์แขกนวล
นอกจากนี้รมว.เกษตรและสหกรณ์ยังกล่าวถึงผลตรวจสอบภาพพิมพ์ดีเอ็นเอจากตัวอย่างมะละกอของนางสมอน นาคคง เกษตรกรต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ว่า พบว่าไม่ใช่มะละกอจีเอ็มโอพันธุ์แขกนวลแน่นอน ส่วนจะเป็นมะละกอจีเอ็มโอพันธุ์แขกดำ หรือมะละกอพันธุ์แขกดำท่าพระซึ่งเป็นมะละกอที่ปลูกจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ตามปกตินั้น จะรู้ผลการตรวจสอบภายในสัปดาห์หน้า
"การพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าเป็นพันธุ์ไหนจะทำหลังจากตรวจพบแล้วว่าเป็นจีเอ็มโอ ในแปลงของนางสมอนนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นจีเอ็มโอ แต่ไม่ใช่ลายพิมพ์ของแขกนวลจีเอ็มโอ สงสัยว่าจะเป็นแขกดำจีเอ็มโอหรือไม่ ถ้าไม่ใช่แสดงว่ามันปนเปื้อนไปทางเกสร จะต้องมีกรรมวิธีเพิ่มขึ้นไปอีก" นายสมศักดิ์กล่าว
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบายเพิ่มเติมว่า หากพบว่าเป็นพันธุ์แขกดำท่าพระ แสดงว่ามีการปนเปื้อนของละออกเกสรตามธรรมชาติ ระยะห่างระหว่างแปลงมะละกอจีเอ็มโอกับมะละกอแขกดำพระที่ห่าง 150 เมตรจะต้องมีการปรับปรุง แต่ถ้าพบว่าเป็นแขกดำจีเอ็มโอแสดงว่ามีการหลุดรอดโดยมีคนลักลอบจากแปลงทดลองไปให้เกษตรกร
เสนอครม.จ่ายชดเชยสัปดาห์หน้า
ส่วนเรื่องค่าชดเชยในการทำลายแปลงมะละกอของเกษตรกร 24 รายนั้น นายฉกรรจ์กล่าวว่า จะมีการนำเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมฯ มีการจัดทำตารางคำนวณค่าชดเชยตามอายุของมะละกอไว้แล้ว แต่ตามระเบียบกระทรวงการคลังสามารถจะชดเชยพันธุ์และปัจจัยการผลิตได้
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/495 | 2004-09-27 22:28 | เกษตรฯ ตั้ง 2 คณะสอบจีเอ็มโอ | ประชาไท - 27 ก.ย.47 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด คือ ชุดตรวจสอบการหลุดรอดของมะละกอดัดแปรพันธุกรรม มีศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นประธาน และคณะกรรมการศึกษาคำขอสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา มีนายภิรมย์ ศรีจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน (ดูรายชื่อคณะกรรมการฯ)
ทั้งนี้ ชุดแรกมีอำนาจหน้าที่ในการหาข้อเท็จจริงว่ามะละกอดัดแปรพันธุกรรมหลุดรอดไปยังแปลงเกษตรกรได้อย่างไร และมีการหลุดรอดจากแปลงเกษตรกรหนึ่งไปสู่แปลงอื่นๆ หรือไม่ ส่วนชุดที่สองมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาผลกระทบของสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา หมายเลข 20030172397 ที่มีต่อเกษตรกร ภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน
"ในส่วนคณะกรรมการตรวจสอบการแพร่กระจายของมะละกอจีเอ็มโอที่กรมวิชาการตั้งขึ้นมานอกเหนือจากคณะกรรมการ 2 ชุดนี้ ก็จะทำงานคู่ขนานกันไป ขณะนี้กรมฯ ได้ส่งนิติกรและผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบในสถานีทดลองพืชสวนขอนแก่นแล้ว โดยจะตรวจสอบตั้งแต่ระดับการทดลองในห้องปฏิบัติการจนถึงการจำหน่ายพันธุ์ ขณะนี้สอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องไป 7-8 คนแล้ว" นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าว
ดร.สุณี เกิดบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบการหลุดรอดฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมในส่วนของเมล็ดพันธุ์แขกดำท่าพระ ซึ่งยังเหลือเก็บอยู่ที่สถานีทดลองพืชสวนท่าพระ ตามที่กลุ่มกรีนพีซออกมาระบุเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวมีการปนเปื้อนของมะละกอจีเอ็มโอ
"การตรวจสอบจากเมล็ดจะง่ายกว่าการที่ไปตามเก็บเป็นพันๆ ราย เพราะพันกว่ารายนั้นถ้ารับเป็นเมล็ดมันมากกว่า 2,000 ต้นแน่นอน อาจจะเป็นแสนต้น เพราะเท่าที่ทราบแต่ละคนจะมาซื้อเมล็ดไปประมาณ 100 กรัม ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าไหมที่จะนำเมล็ดพันธุ์ที่ยังเหลืออยู่มาตรวจสอบการปนเปื้อน" ดร.สุณีกล่าว
นอกจากนี้ ดร.สุณี ยังเสนอให้มีการตรวจสอบในเรื่องสิทธิบัตรเพิ่มเติมจากที่ดร.เดนิส กอนซาเวส จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกายื่นขอไปแล้ว เพราะยังมีอีก 2 สิทธิบัตรที่อยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติ ซึ่งจะมีผลกระทบกับเมืองไทยพอสมควร ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตรได้รับทราบข้อเสนอแล้วจะนำไปร่วมพิจารณาต่อไป
ด้านอธิบดีกรมวิชาการเกษตรกล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้ทำหนังสือขอรายละเอียดรายชื่อจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผลตรวจในห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดจากกรีนพีซ และไบโอไทยแล้ว เพื่อนำไปตรวจสอบเปรียบเทียบว่าตรงกับแปลงเกษตรกรที่ทางกรมวิชาการเกษตรตรวจเจอหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลแต่อย่างใด
ด้านนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการองค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไทย) กล่าวว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าจะร่วมเป็นกรรมการตรวจสอบด้วยหรือไม่ หลังจากที่เสนอเข้าร่วมไป 4 คน แล้วได้รับอนุมัติเพียง 1 คน เพราะยังไม่มีติดต่อจากกรมวิชาการเกษตรเลย อีกทั้งยังไม่เห็นขอบเขตอำนาจหน้าที่ จึงต้องรอรายละเอียดและหารือกับคณะทำงานทั้งหมดอีกครั้ง
"อย่างไรก็ตาม วันพุธนี้ (29 ก.ย.) เราจะมีการแถลงข่าวผลการตรวจสอบมะละกอจีเอ็มโอชุดแรกจำนวน 35 ตัวอย่างจาก 7 จังหวัด" นายวิฑูรย์กล่าว
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/497 | 2004-09-27 22:45 | รัฐประชุมด่วนรับมือไข้หวัดนกระบาด | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 ภาวะการของไข้หวัดนกทำให้รัฐบาลต้องเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะช่วงใกล้ฤดูหนาวซึ่งมีโอกาสการระบาดของโรคสูง
ทั้งนี้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะทำงานแก้ปัญหาไข้หวัดนก จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทยมาร่วมประชุมในวันที่ 29 ก.ย.ศกนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการระบาดที่อาจจะเกิดขึ้น
การเรียกประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงสาธารณสุขแถลงเป็นทางการวันนี้ว่า พบผู้ป่วยไข้หวัดนกโดยเป็นป้าของเด็กหญิงซึ่งเป็นผู้ป่วยเฝ้าระวังและได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าที่ อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี จ.กำแพงเพชร ถือเป็นรายที่สองของประเทศ หลังจากพบผู้ป่วยรายแรกที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัวแทนองค์การอนามัยโลก(WHO) รวมถึงสื่อมวลชน ออกมาวิพากษ์ว่า ไม่มีสัญญาณเตือนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องไข้หวัดนก ก่อนเกิดการระบาดในหลายพื้นที่ จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตรายแรกที่ จ.ปราจีนบุรี
ขณะที่มีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี โดยไม่ทราบว่าได้สัมผัสไก่ที่ป่วยหรือไม่ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เชื้อH5N1 อาจกลายพันธุ์โดยมีการแลกเปลี่ยนดีเอ็นเอกับเชื้อไข้หวัดในคน กลายเป็น ไทยแลนด์ฟลู ซึ่งสามารถติดระหว่างคนสู่คนได้
"ถามว่า การแพร่ระบาดคนสู่คน ถ้าเกิดขึ้นจริงจะกล้าเปิดเผยหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ จะเปิดเผยหรือไม่เป็นไปตามกติกาขององค์การอนามัยโลก" รองนายกรัฐมนตรีระบุ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/499 | 2004-09-27 22:53 | พบหวัดนกระบาดที่สุพรรณบุรี | สุพรรณบุรี-27ก.ย.47 นายทรงพล ทิมาศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ระบุว่า พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกในหลายพื้นที่ของจังหวัด ได้แก่ อ.บางปลาม้า อ.เมือง อ.หนองหญ้าไซ และอ.ดอนเจดีย์
สาเหตุคาดว่า สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง มีฝนตกและความชื้นในอากาศสูง อันเป็นปัจจัยที่เสริมให้สัตว์ปีกเกิดความเครียด เพิ่มโอกาสการเกิดโรค ประกอบกับปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนเหนือที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกและไหลลงมาตามแนวแม่น้ำ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคไข้หวัดนก
อย่างไรก็ดีทางจังหวัดยังได้สั่งการให้ทุกอำเภอเร่งป้องกันและควบคุมโรค โดยให้เข้มงวดเรื่องการลักลอบเคลื่อนย้าย ทั้งออกนอกพื้นที่และเข้ามาในพื้นที่ จนถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2547
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/498 | 2004-09-27 22:51 | สธ. ตั้งทีมคุมหวัดนกทั่วปท. | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 น.พ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า วันนี้ฝ่ายวิชาการของกรมควบคุมโรค สำนักระบาดวิทยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้การประชุมด่วนเพื่อประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนก
ทั้งนี้เพื่อออกมาตรการให้ทุกโรงพยาบาลในสังกัด สาธารณสุขทั่วประเทศเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงทราบวิธีดำเนินการกับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ซึ่งต้องดูอาการว่า อยู่ในอาการที่ต้องเฝ้าระวังหรือไม่ รวมทั้งโรงพยาบาลจะต้องซักประวัติผู้ป่วยโดยละเอียด
รักษาการปลัดกระทรวงฯ ยืนยันว่า ยังไม่ปรากฏการติดเชื้อคนไปสู่คนนั้นในประเทศไทย ส่วนสถานการณ์ขณะนี้ มีผู้ป่วยด้วยเชื้อไข้หวัดนกในรอบแรก และรอบสองรวมกัน 12 ราย โดยเสียชีวิตในรอบแรก 8 ราย ส่วนในรอบที่ 2 ทั้งนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย ส่วนผู้ป่วยเฝ้าระวังรายอื่นๆ อยู่ระหว่างการตรวจสอบหาเหตุ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/502 | 2004-09-27 23:04 | คน "มอ." ลงชื่อต้าน ออกนอกระบบ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-27ก.ย.47 เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ห้องทองจันทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เป็นประธานรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัตินำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ออกนอกระบบ มีบุคลากรและนักศึกษาเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นประมาณ 70 กว่าคน
โดยผู้เข้าร่วมประชุมต่างแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ออกนอกระบบ พร้อมกับเสนอให้ชะลอไว้ก่อน เพื่อรอดูผลดีผลเสียจากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยอื่น รวมทั้งขอให้จัดสัมมนาบุคคลากรส่วนต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ตรงกัน และควรทำวิจัยถึงผลดีผลเสียของการออกนอกระบบด้วย
โดยในส่วนของนักศึกษาวิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้เพียงไม่กี่คนระบุว่า นักศึกษาทั่วไปในวิทยาเขตหาดใหญ่ ไม่มีโอกาสทราบเรื่องการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาก่อน มีเฉพาะผู้นำนักศึกษาที่เพิ่งรับทราบข้อมูล ทางสภานักศึกษาจึงได้ยื่นหนังสือถึงอธิการบดีขอให้จัดรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาอีกครั้ง ในช่วงเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งนายประเสริฐรับว่า จะดำเนินการให้ตามที่ร้องขอ
จากนั้นน.พ.เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา อาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ ในฐานะตัวแทนประชาคม มอ. ได้ยื่นหนังสือต่ออธิการบดีฯ ระบุว่า มีประชาคม มอ. จำนวนมาก ไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งจะนำมหาวิทยาลัยออกนอนกระบบ จึงเรียกร้องให้มีการนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งประชาชนทั่วไป ในลักษณะเดียวกับการทำประชาพิจารณ์ โดยมีบุคลากรของมหาวิทยาลัยร่วมลงชื่อกว่า 700 คน
ต่อมา นายศิริชัย ศรีพงศ์พันธ์ อาจารย์คณะทรัพยากรธรรมชาติ ในฐานะตัวแทนกลุ่มช่อศรีตรัง ได้ยื่นหนังสือแสดงความไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ออกนอกระบบ และไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งจะนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบทั้งฉบับ โดยมีบุคลากรของมหาวิทยาลัยร่วมลงชื่อ 805 คน ส่งผลให้ขณะนี้บุคลากรของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ลงนามคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้วกว่า 1,500 คน
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/501 | 2004-09-27 23:01 | ปี 47 AIS ดูดเงินรายย่อยกว่า 7 หมื่นล. | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 ปี 47 เอไอเอสดูดเงินจากลูกค้ารายย่อยผ่านสาขาและร้านตัวแทนค้าย่อยกว่า 7 หมื่นล้านบาท เตรียมแผนฯ เปิดบริการดึงพันธมิตรในเครือ "แคปิตอล โอเค-แอร์เอเชีย" ร่วมวงไพบูลย์ปีหน้า
นายตุลย์ สมสมาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารช่องทางการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส สิ้นปี 2547 นี้ เอไอเอสมีรายได้จากการขายซิมการ์ด บัตรเติมเงิน อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นล้านบาท
โดยผ่านช่องทางร้านเทเลวิสซึ่งมีอยู่จำนวน 347 สาขา และร้านค้าปลีกซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายบัตรเติมเงิน 60,000 - 70,000 ราย ทั่วประเทศ ทั้งนี้แยกเป็นรายได้จากร้านเทเลวิสประมาณ 3.6 -3.7 หมื่นล้านบาท
นอกจากนั้นทางเอไอเอส ยังเตรียมขยายบริการให้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าอาทิ การบริการชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ, การเปิดให้บริการปล่อยสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อเงินผ่อนร่วมกับทางแคปปิตอล โอเค โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในร้านเทเลวิสครบทุกสาขาต้นปีหน้า
นอกจากนั้นยังมีการเปิดให้บริการจองและรับชำระค่าตั๋วเครื่องบินของสายการบินเอเชีย, การเปิดให้สมัครบริการ Hi-Speed Internet และให้บริการดาว์นโหลดโปรแกรม ซึ่งโดยรวมคาดว่าจะเพิ่มรายได้ให้กับเอไอเอสไม่น้อยกว่า 10%
เอไอเอสมีแผนที่จะทำตลาดลูกค้ารายย่อย โดยการใช้พื้นที่ร้านสะดวกซื้ออาทิ ร้านถ่ายรูป ร้านขายแว่นตา ซูเปอร์มาร์เก็ต โดยใช้พื้นที่ประมาณ 4-5 ตารางเมตร รวมถึงการการทำรถบริการเคลื่อนที่เข้าไปในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในปีหน้า(2548) ไม่ต่ำกว่า 10%
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/500 | 2004-09-27 22:55 | นกยางอพยพบุรีรัมย์ตายไม่ทราบเหตุ | บุรีรัมย์-27 ก.ย.47 นายเรืองศักดิ์ ละทัยนิล ปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ ระบุว่า ฝูงนกยางที่อพยพมาอาศัยในในเขตอนุรักษ์นกสำนักสงฆ์ดอนใหญ่ บ้านดอนใหญ่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ แหล่งดูนกของจังหวัด ซึ่งมีนกหลายชนิดกว่า 5 หมื่นตัว ได้ตกลงมาตายเป็นจำนวนมากโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทางปศุสัตว์ได้เข้าไปเก็บตัวอย่างนกมาตรวจสอบว่า เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ทั้งนี้ยังไม่ได้สรุปว่า เป็นเพราะไข้หวัดนก เพราะเป็นไปได้ว่า นกอาจจะตายเพราะกินยาปรายศัตรูพืชของเกษตรกรในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูทำนา
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/496 | 2004-09-27 22:37 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 346/2547 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 346/2547
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการหลุดรอดของมะละกอดัดแปลงพันธุกรรม
ด้วยกรมวิชาการเกษตรรายงานว่า ได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างมะละกอจากแปลงปลูกของเกษตรกรในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 239 ตัวอย่าง เพื่อตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนของมะละกอดัดแปรพันธุกรรม ปรากฏว่ามี 1 ตัวอย่าง จากแปลงของนางสมอน นาคคง อยู่บ้านเลขที่ 354 หมู่ 19 ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นมะละกอดัดแปรพันธุกรรม จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการหลุดรอดของมะละกอดัดแปรพันธุกรรมและคณะกรรมการดังกล่าวได้ดำเนินการไปได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่เพื่อให้การตรวจสอบมีความเป็นกลางมากขึ้นสมควรมีบุคคลจากหลายหน่วยงานมาร่วมดำเนินการตรวจสอบ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการหลุดรอดของมะละกอดัดแปรพันธุกรรม ประกอบด้วย
1. ศาสตราจารย์ ดร. ธีระ สูตะบุตร ประธานกรรมการ
2. ดร. ดรุณี วงศ์ศศิธร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการกักกันพืช กรรมการ
3. นายมาโนช ทองเจียม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพืชสวน กรรมการ
4. ผศ. ดร. สุรวิช วรรณไกรโรจน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรรมการ
5. รศ. ดร. สุพัฒน์ อรรถธรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรรมการ
6. ผศ. ดร. วิชัย โฆศิตรัตน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรรมการ
7. ดร. สุณี เกิดบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล กรรมการ
8. นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ องค์กรพัฒนาเอกชน กรรมการ
9. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์พืช กรรมการ
10. นายสุรพล ยินอัศวพรรณ นักวิชาการเกษตร 7ว กองคุ้มครองพันธุ์พืช กรรมการและเลขานุการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1.หาข้อเท็จจริงว่ามะละกอดัดแปรพันธุกรรม หลุดรอดไปยังแปลงของเกษตรกรอย่างไร
2.มีมะละกอดัดแปรพันธุกรรมจากแปลงเกษตรกรหนึ่งหลุดรอดไปสู่แปลงเกษตรกรอื่นๆ หรือไม่
3.ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจเชิญนักวิชาการหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงได้
4.ให้คณะกรรมการดังกล่าวรายงานความก้าวหน้าของการตรวจสอบให้กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ทราบเป็นระยะ และเมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วให้รายงานผลการตรวจสอบและความเห็นเสนอคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/503 | 2004-09-27 23:24 | คำประกาศไม่เห็นด้วย กับ การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบและ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ | "ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"
ตามที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะจัดให้มีเวทีการรับฟังความคิดเห็นของประชาคมต่อ "ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว กลุ่มช่อศรีตรัง ซึ่งเป็นบุคคลชาวมอ.วิทยาเขตหาดใหญ่ที่มีรายนามแนบท้ายนี้ได้ร่วมกันปรึกษาหารือในเรื่องดังกล่าวและสรุปมีความเห็นว่า
กลุ่มฯไม่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ แต่สนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนไปตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มคุณภาพ ประสิทธิภาพและความเป็นเลิศทางวิชาการ
และเพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงประเด็นสำคัญในร่าง พ.ร.บ. ภายหลัง(ซึ่งอาจดำเนินการได้ในขั้นตอนของมหาวิทยาลัย-กฤษฎีกา-ครม.-สภาผู้แทน-รัฐสภา) กลุ่มฯจึงมีความเห็นร่วมกันว่าต้องไม่รับร่าง พ.ร.บ. นี้ทั้งฉบับ
โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้
1.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสในกรณีเดียวกันนี้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(เมษายน 2543) ว่า "ก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติฯลฯ ควรมีการหาปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน(คณาจารย์ นักศึกษา ผู้บริหาร ฯลฯ) และ ร่างกฎหมายประกอบทั้งหมดให้ครบก่อน การปรึกษาเป็นในทำนองประชาพิจารณ์ เป็นการปรึกษาที่กว้างขวาง รวมทั้งประชาชนทั่วไปด้วย" ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2540
แม้เวลาได้ผ่านเลยไปกว่า 2 ปีนับจากที่ได้ส่งร่าง พ.ร.บ.ให้กับกฤษฎีกาแล้ว กลุ่มฯก็ยังไม่เห็นความกระตือรือร้นของมหาวิทยาลัยที่จะร่างข้อบังคับประกอบร่าง พ.ร.บ. แต่อย่างใด
2. ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้บรรจุคำว่า "
ทั้งนี้ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย" " ไว้ในหลายมาตรา รวมทั้งมาตราที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล(มาตรา13)ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เป็นเส้นแบ่งระหว่าง "ความเป็นเจ้าของ" กับ "ความเป็นลูกจ้าง" มหาวิทยาลัยหรือ "ความเป็นลูกศิษย์" กับ "ความเป็นลูกค้า"
ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยต้องการความเป็นอิสระจากส่วนราชการ แต่ในตัวมหาวิทยาลัยกลับให้อธิการบดีเป็นประธานสภาวิชาการ(มาตรา24) ในขณะที่ร่างของมหาวิทยาลัยมหิดลให้มาจากการเลือกตั้ง
ในบทเฉพาะกาล(มาตรา73) ได้กำหนดให้ข้าราชการในปัจจุบันต้องตัดสินใจว่าจะออกจากราชการหรือไม่ภายใน 90 วัน แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับกำหนดไว้ว่าต้องร่างระเบียบข้อบังคับการบริหารงานบุคคลให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี(มาตรา79) เมื่อข้าราชการยังไม่ทราบระเบียบการบริหารแต่ต้องตัดสินใจไปก่อน ก็ไม่ต่างอะไรกับการเซ็นเช็คว่างให้ผู้อื่นถือ
3. เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มคุณภาพ ประสิทธิภาพและความเป็นเลิศทางวิชาการ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 27 มกราคม 2541 กำหนดให้มหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "มหาวิทยาลัยนอกระบบ" ภายในปี 2545
แต่ต่อมาได้มี "พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542" ได้กำหนดให้สถาบันการศึกษาสามารถเลือกปฏิบัติได้ 2 แนวทางคือ (ก) เป็นหน่วยราชการเช่นเดิม (ข) เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ตามมาตรา 36 ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้สามารถ สามารถ "ดำเนินการได้โดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสภาสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษานั้นๆ"
ดังนั้นหากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาใดต้องการจะบรรลุวัตถุประสงค์ ก็สามารถที่จะเลือกแนวทาง (ก) คือเป็นหน่วยราชการเช่นเดิมได้ ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งนอกจากจะสามารถเป็นอิสระและคล่องตัวแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ "มีเสรีภาพทางวิชาการ"
ทั้งๆที่การมี "มีเสรีภาพทางวิชาการ" นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของมหาวิทยาลัยที่ทำหน้าที่เป็นสมองของประเทศ แต่ข้อความดังกล่าวไม่ปรากฏอยู่ในร่าง พ.ร.บ. ของ มอ.ฉบับนี้เลย
ที่ผ่านมาทบวงมหาวิทยาลัย(ซึ่งปัจจุบันได้ถูกยุบรวมกับกระทรวงศึกษาธิการแล้ว)และมหาวิทยาลัย มิได้ แจ้งให้ข้าราชการทราบถึงแนวทางทั้งสองแต่อย่างใด แต่กลับผลักดันให้เป็นไปในแนวทางที่ต้องออกนอกระบบเท่านั้น โดยมิได้ให้ประชาคมมหาวิทยาลัยและประชาชนทั่วไปร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางถึงข้อดีข้อเสียของทั้งสองแนวทางที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติเป็นสำคัญ
4. กลุ่มฯ เข้าใจถึงวิกฤติทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ที่เป็นเหตุผลให้รัฐบาลต้องตัดลดงบประมาณแผ่นดินในทุกๆด้านรวมทั้งด้านการศึกษาด้วย ประกอบกับคนไทยได้รับทราบถึงกระบวนการ "ปฏิรูปการศึกษา" (2542) "ปฏิรูประบบราชการ" (2545) รวมทั้ง "การทำสงครามกับคอร์รัปชัน" (2544)ซึ่งในขณะนั้นวาทะกรรมเหล่านี้ได้มีส่วนทำให้สังคมไทยต่างรู้สึกเคลิ้มไปชั่วขณะเพราะมีความรู้สึกว่าต้องช่วยชาติและมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างเป็นระบบ
แต่บัดนี้สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามกันมากขึ้นเรื่อยๆว่าวาทะเหล่านี้จะสามารถจะเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันของประเทศไทยกลับเพิ่มอันดับสูงขึ้น และหากการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในอนาคตที่ ด้านหนึ่ง เน้นที่ความคล่องตัวในการใช้จ่ายงบประมาณและอีก ด้านหนึ่ง ไม่มีคำว่า เสรีภาพทางวิชาการ แล้วสังคมไทยยิ่งจะน่าเป็นห่วงมากขึ้น ซึ่งกลุ่มฯจะขอขยายความในหัวข้อที่ 5
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เริ่มร่างในปี 2540 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีปัญหาเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) ซึ่งกลุ่มเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างมหาศาล(จะกล่าวถึงในข้อ 6)
5. กลุ่มฯ เชื่อตามปรัชญาของมหาวิทยาลัยในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายว่า มหาวิทยาลัยต้องมีเสรีภาพทางวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยต้อง "แสวงหาความจริง" และ กล้า ที่จะเผยแพร่ความจริงที่ตนค้นพบได้อย่างอิสระ แม้ความจริงนั้นจะไม่เป็นที่พอใจของหัวหน้ารัฐบาล รัฐมนตรีหรืออธิการบดีก็ตาม เพราะการพัฒนาประเทศจะต้องตั้งอยู่บนฐาน ของความจริง หาใช่ความถูกใจของใครบางคนไม่
การให้สถานภาพของอาจารย์กลายเป็นพนักงานตามสัญญาจ้างในร่าง พ.ร.บ.ฉบับออกนอกระบบแล้วใครจะกล้าออกมาชี้นำสังคม มหาวิทยาลัยก็จะตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัว แม้ในสภาพที่ยังอยู่ในระบบราชการเช่นปัจจุบันนี้ นักวิชาการจำนวนมากก็ยังถูกค่อนแคะว่า "เป็นขาประจำ" หรือ "พวกไม่รู้จริง" อยู่เสมอๆ
ดร. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เคยบรรยายในที่ประชุมสภาอาจารย์(18 พฤศจิกายน 2543) ว่า "อาจารย์ ไม่ใช่ลูกจ้างมหาวิทยาลัย ทุกคนมีส่วนเข้ามาสร้างมหาวิทยาลัยร่วมกัน ต้องปลูกฝังคำว่า ความเป็นเจ้าของ ต่างกับว่าเป็นลูกจ้างโดยสิ้นเชิง ลูกจ้างมีหน้าที่ทำอะไรตามคำสั่ง ในมหาวิทยาลัยของเราไม่มี Boss อธิการบดี คณบดี ไม่ใช่ Boss ของเรา ท่านเป็นเพียงผู้ประสานงาน เป็นผู้กำกับ เป็นผู้ดูแล เป็น Facilitator "
กลุ่มฯ เห็นว่าเรื่องเสรีภาพทางวิชาการเป็นหัวใจสำคัญของมหาวิทยาลัย แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำความเข้าใจกับสังคมในเนื้อที่อันจำกัดนี้
6. แม้ทางกลุ่มฯจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ค่าธรรมเนียมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใด แต่จากการศึกษาระเบียบของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ พบว่าค่าธรรมเนียมการศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งคิดเป็นประมาณ 4.6 เท่าของนักศึกษามอ.ในปัจจุบัน(ในคณะวิชาประเภทเดียวกัน)
การขึ้นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐให้สูงจนใกล้เคียงกับของมหาวิทยาลัยเอกชน จะเป็นการเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศสามารถเข้ามาแข่งขันได้ ซึ่งเป็นการสอดรับกับข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ในด้านการศึกษาด้วย
กลุ่มฯ เห็นว่าการศึกษาไม่ใช่เป็นธุรกิจ แต่ถือว่าการศึกษาเป็นการพัฒนาคนเพื่อไปพัฒนาชาติในอนาคต แม้รัฐจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่จะได้ปลูกฝังให้บัณฑิตกลับมาทดแทนคุณแผ่นดิน สำหรับรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากภาระส่วนนี้ ก็จะสามารถหามาได้ด้วยการทำให้วาทะที่ว่า "การทำสงครามกับคอร์รัปชัน" มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง
การขึ้นค่าธรรมเนียมนักศึกษาถึง 4.6 เท่าตัวย่อมปิดกั้น "ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษา" ที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้กำหนดไว้อย่างลอยๆในมาตรา 9 อย่างแน่นอน
อนึ่ง ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่เกรงกลัวผลกระทบของเอฟทีเอด้านการศึกษา แม้แต่ในประเทศออสเตรเลียและแคนาดาที่มีความเข้มแข็งทางการศึกษาสูงกว่าประเทศไทยเรามาก ก็เกรงกลัวถึงขั้นที่ว่าประเทศของพวกเขา "จะสูญเสียความมั่นคงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม" กันเลยทีเดียว ประเทศไทยก็เคยได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการเงิน(บีไอบีเอฟ)ในขณะที่ยังไม่มีความพร้อม จนนำไปสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 มาแล้ว
7. กลุ่มฯ มีข้อสังเกตว่า พ.ร.บ. ฉบับปัจจุบัน(พ.ศ. 2522) มีเจตนารมณ์ให้ผู้บริหารระดับสูงดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน โดยที่ต้องนับวาระเดิมใน พ.ร.บ. ฉบับก่อนหน้า(พ.ศ. 2511) ด้วย แต่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ กลับไม่ให้นับวาระเดิม(มาตรา 70) ซึ่งเปิดโอกาสให้การดำรงตำแหน่งของผู้บริหารระดับสูงเป็นไปได้ถึง 4 วาระติดต่อกัน จึงเป็นเรื่องที่ประชาคม มอ.ต้องการคำอธิบาย
8. ประชาคมหลายส่วนของ มอ. ถูกทำให้เข้าใจว่ามหาวิทยาลัยต้องยอมรับการออกนอกระบบอย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่จริงๆแล้วเรายังมีโอกาสเสนอทางเลือกอื่นตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เพราะก่อนที่ พ.ร.บ. จะมีผลบังคับใช้ต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม. สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และขั้นสุดท้ายคือการลงพระปรมาภิไธย ดังนั้นความเห็นของประชาคม มอ. มิได้มีความสำคัญเฉพาะระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สามารถส่งผลในทุกขั้นตอน
9. กลุ่มฯ ขอใช้สิทธิในความเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ร่วมกับคนไทยทุกคน จึงขอทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้และความคิดดังกล่าวให้กับชาว มอ. และสังคมโดยรวม
หากท่านเห็นด้วยกับแนวคิดข้างต้นกรุณาเซ็นชื่อต่อท้ายเอกสารฉบับนี้ เพื่อกลุ่มฯจะได้รวบรวมเสนอต่อมหาวิทยาลัย รัฐบาล และสาธารณะ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นที่ประชาคมโดยรวมเห็นสมควรต่อไป และหากท่านสามารถช่วยเผยแพร่เอกสารนี้ต่อไปและรวบรวมรายชื่อบุคคลากรรวมทั้งนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ด้วยเพิ่มเติม ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง ทั้งนี้ขอให้ยึดมั่นในผลประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
กลุ่มช่อศรีตรัง
7 กันยายน 2547
ขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือแสดงความเห็นได้ที่
1. รศ. ดร. จักรกฤษณ์ กนกกัณตพงษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์
2. ดร. อุตส่าห์ จันทร์อำไพ คณะวิทยาศาสตร์
3. รศ. นพ. วีระพล จันดียิ่ง คณะแพทยศาสตร์
4. รศ. สุภาณี อ่อนชื่นจิตร คณะพยาบาลศาสตร์
5. อาจารย์ อุษณีย์ วรรณนิธิกุล คณะวิทยาการจัดการ
6. รศ. ดร. ศิริชัย ศรีพงษ์พันธุ์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ
7. รศ. ดร. ดำรงค์ศักดิ์ ฟ้ารุ่งสาง คณะเภสัชศาสตร์
8. ดร. ศักดิ์ชัย คีรีพัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/507 | 2004-09-27 23:35 | หมอมิ้งเปิดทางปตท.สผ.บุกอิหร่าน | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางไปเยือนอิหร่านโดยมีประเด็นหารือในกรณีที่ บริษัทปตท. สผ. จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นขอสัมปทานแหล่งน้ำมันบนบกในอิหร่านจำนวน 2 บล็อค คือ บล็อค 4 และบล็อค 14 เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากถือว่า PTTEP เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของรัฐบาล
ปัจจุบันบริษัท ปตท. สผ. มี บมจ.ปตท. ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 65.03 ขณะที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 48.55
นอกจากนั้นรัฐมนตรีพลังงานจะหารือกรณีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)ที่รัฐบาลอิหร่านเคยเสนอให้ไทยนำเข้าเป็นจำนวน 5 ล้านตัน ในช่วงหลังปี 2553
โดยไทยจะขอให้อิหร่านขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้ไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐในราคาพิเศษ จำนวน 6 หมื่นบาร์เรล/วัน ซึ่งหากดำเนินการได้ ก็จะทำให้ไทยลดภาระการนำเข้าน้ำมันดิบที่มีราคาสูงในปัจจุบันได้
นอกจากนี้อิหร่านจะชวนให้ไทยลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติ PARS ที่มีปริมาณก๊าซฯสำรองสูงถึง 200-500 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตด้วย โดยการลงทุนจะมีทั้งสิ้น 18 เฟส ซึ่งอิหร่านได้เสนอให้เข้าไปร่วมลงทุนในเฟส 11 หรือ 15
ปัจจุบันอิหร่าน มีสำรองก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณสำรองสูงถึง 900 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ขณะที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกที่ 1.31 แสนล้านบาร์เรล รองจากซาอุดิอาระเบีย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/504 | 2004-09-27 23:28 | นายจ้างไทยเมินคนงานมอญตายอีก 1 | ประชาไท-27 ก.ย. 47 คนงานมอญขุดเจาะเสาเข็มถูกไฟฟ้าช็อตตาย ภรรยาแจ้งความเรียกค่าเสียหายเพื่อกลับบ้านดูแลลูก ระบุสามีถูกนำไปเผาหลังเกิดเหตุวันเดียว ตำรวจเตรียมส่งหมายเรียกนายจ้างมาให้ปากคำ
จากกรณีที่นายโทนนะ พะอัน อายุ 24 ปี คนงานขุดเจาะเสาเข็มสัญชาติมอญ เสียชีวิตจากการถูกไฟฟ้าช็อตเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา ระหว่างการขุดเจาะเสาเข็มโดยแท่งเหล็กขุดดินไปพาดทับสายไฟกระดิ่งบริเวณกำแพง ที่หมู่บ้านพฤกษา 13 รังสิต
นายโทนนะขึ้นทะเบียนแรงงานเป็นลูกจ้างบริษัทก้าวไกล รับขุดเจาะเสาเข็ม ได้ค่าแรงวันละ 130 บาท มีนายมานิตย์ โชคสัมฤทธิ์สุข พักอยู่ที่ซอยลาดพร้าว 113 เป็นนายจ้าง ส่วนนายโทนนะและเพื่อนพักอยู่ที่โกดังซอยลาดพร้าว 136
ตั้งแต่เสียชีวิตนายจ้างไม่รับผิดชอบค่าชดเชยกรณีที่เสียชีวิต และไม่จ่ายค่าแรงทั้ง 5 คนมาตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.-19 ก.ย.ประมาณคนละ 3,000 บาท โดยอ้างว่าหักค่าทำบัตร แต่คนงานได้จ่ายค่าตรวจสุขภาพไปเพียง 1,900 บาทเท่านั้น
โดยนางอุมาและเพื่อนพร้อมด้วยทนายความได้เดินทางไปร้องเรียนที่กรมสวัสดิการ กระทรวงแรงงาน ที่เขตบางกะปิเมื่อวันที่ 21 ก.ย.แต่ทางกรมสวัสดิการบอกว่า ติดต่อนายจ้างไม่ได้ จึงให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจคลองหลวง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ นางอุมาจึงไปแจ้งความเมื่อวันที่ 22 ก.ย.
ล่าสุดนางอุมาและเพื่อนได้ไปสอบปากคำ แต่ตำรวจยังไม่สามารถติดต่อนายจ้างได้ โดยนายอุมาได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูบริเวณที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 12.00 น.
นางอุมา กล่าวว่าตนและสามีมาทำงานกับนายจ้างคนนี้ได้ 1 ปี โดยสามีรู้งานจึงเป็นคนจับเหล็กขุดดินซึ่งเป็นงานที่อันตรายมาก ที่ผ่านมาตนเห็นบางคนถูกเหล็กชนจนตาบอดบางคนหัวแตก หลังจากที่สามีเสียชีวิตเมื่อเวลา 5 โมงเย็นที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ นายจ้างก็ไล่ตนและเพื่อนกลับ โดยอ้างว่าจะถูกจับเพราะตำรวจจะมาและรับปากว่าจะดูแลค่าทำศพและค่าชดเชยที่เสียชีวิต จากนั้นวันรุ่งขึ้นเมื่อกลับมาที่โรงพยาบาลพบว่าเขากำลังนำศพสามีขึ้นรถตู้จึงรีบตามไป ปรากฏว่าศพถูกนำไปเผาที่วัดบริเวณคลอง 1 โดยตนต้องเสียค่าโลงศพ 2,500 บาท แต่นายจ้างไม่ได้มาแต่คิดว่า เป็นคนให้โรงพยาบาลจัดการ
"อยากกลับบ้านไปทำบุญให้สามีเพราะไม่ได้ทำอะไรให้เขานายจ้างรีบเอาไปเผา และอยากได้เงินชดเชยเพราะมีลูก 3 ขวบอยู่ที่บ้านต่อไปต้องเลี้ยงดูคนเดียวถ้าไม่มีลูกคงไม่คิดมาก ต้องกลับไปอยู่บ้านแต่นายจ้างเขาไม่รับผิดชอบอะไรเลยค่าแรงก็หักหมด บอกว่าให้ไปฟ้องร้องเอาเขาคงคิดว่าเราโง่ ไม่มีทาง ไม่มีคนช่วย ขนาดเจ้าของบ้านที่เราไปทำงานให้เขายังช่วยทำบุญ 2 พันบาท"นางอุมา กล่าว
ร.ต.อ.สมโภชน์ เรืองหิรัญวนิช พนักงานสอบสวน กล่าวว่า วันนี้จะส่งหนังสือเรียกตัวนายจ้างให้มาให้ปากคำในวันที่ 30 ก.ย.นี้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ซึ่งหากไม่มาหรือตกลงกันไม่ได้คนงานต้องฟ้องร้องไปที่ศาลแรงงานต่อไป เนื่องจากตำรวจดูแลในส่วนคดีอาญาและคดีแพ่งเท่านั้น โดยทางสน.คลองหลวงได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.ว่ามีคนเสียชีวิตและได้ลงบันทึกไว้แล้ว และได้บอกกับโรงพยาบาลว่าให้บอกนายจ้างหรือญาติผู้ตายให้มาแจ้งความแต่ก็ไม่มีใครมาแจ้งความจนกระทั่งวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา
ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/509 | 2004-09-28 00:41 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 347/2547 | คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 347/2547
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาคำขอสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา
ด้วย Dr. Dennis Gonsalves และคณะได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ต่อสำนักงานสิทธิบขัตรของสหรัฐอเมริการตามคำขอสิทธิบัตร หมายเลข 20030172307 และหนึ่งในผู้ประดิษฐ์ ได้แก่ ดร. นงลักษณ์ ศรินทุ อดีตนักวิชาการเกษตรของกรมวิชาการเกษตร
ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบกับประเทศไทยโดยรวม จึงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวประกอบด้วย
1. นายภิรมย์ ศรีจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการ
2. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์พืช กรรมการ
3. นายสุรเดช อัศวินทรางกูร นักวิชาการตรวจสอบสิทธิบัตร 8ว กรมทรัพย์สินทางปัญญา
กรรมการ
4. นายเจริญ คัมภีรภาพ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการ
5. ดร. ธนิต ชังถาวร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กรรมการ
6. ดร. เจษฏ์ โทณะวณิก สำนักงานกฏหมายมโนทัย-เจษฏ์ แอนด์แอสโซสิเอทส์ กรรมการ
7. นางสาวโสภิดา เหมาคม หัวหน้ากลุ่มนิติการและสิทธิประโยชน์ กรมวิชาการ กรรมการและเลขานุการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่ดังนี้
1.ศึกษาคำขอสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกา หมายเลข 20030172397 ผลดี ผลเสีย และผลกระทบต่อเกษตรกร ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยอย่างไร
2.ให้มีอำนาจเชิญนักวิชาการ หรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นประกอบการศึกษาได้
3.ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แล้วรายงานผลและความเห็นเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
4.ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของคณะกรรมการดังกล่าวชุดนี้ ให้เบิกจ่ายจากกรมวิชาการเกษตร
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/508 | 2004-09-28 00:19 | รัฐทบทวนมาตรการเปิด-ปิดห้าง | กรุงเทพฯ-27 ก.ย.47 นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์จะรวบรวมผลกระทบและข้อเสนอจากผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าและดิสเคานท์สโตร์ กรณีที่รัฐออกนโยบายประหยัดพลังงานโดยกำหนดเวลาเปิด-ปิดห้างให้เร็วขึ้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสัปดาห์หน้า
ก่อนหน้านี้ ผู้แทนของห้างคาร์ฟูร์และเครือเซนทรัล ได้เสนอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดังกล่าว เนื่องจากกระทบต่อยอดขายสินค้า
รมว.พาณิชย์กล่าวว่า ทางกระทรวงจะพิจารณามาตรการประกอบกับรายรับของรัฐบาลว่า หลังใช้มาตรการดังกล่าวแล้ว กระทบกับรายได้ทำให้รัฐเก็บภาษีได้ลดลงหรือไม่ หรือพิจารณาว่า ผู้ประกอบการมีมาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ มาทดแทนหรือไม่ ซึ่งหากไม่คุ้มค่าหรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะเลิกมาตรการหรือปฏิบัติต่อไป
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/510 | 2004-09-28 20:42 | จดหมายเปิดผนึกถึงอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สมาคมจดหมายเหตุไทย
28 กันยายน 2547
เรื่อง ขอให้พิจารณาดำเนินการจัดตั้ง "หอเกียรติยศศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์"
เรียน ศ. ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สืบเนื่องจากการที่ท่านได้รับฉันทามติจากประชาคมธรรมศาสตร์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีนั้น กระผมขอแสดงความยินดีมา ณ ที่นี้ และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานเพื่อการศึกษาของชาติและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อันเป็นที่รักของเรา
อนึ่ง สืบเนื่องจากการอสัญกรรมของศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ 6 มกราคม 2545 ที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นความสูญเสียอันประเมินค่ามิได้ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยไทย ดังที่เป็นที่ทราบกันดีว่า ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ มีผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมากมายมหาศาล เห็นได้จากการที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางราชการอันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เช่น เป็นอาจารย์ทางกฎหมาย เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานศาลฎีกา เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของเราหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก และเป็นประธานองคมนตรี ตราบจนถึงอสัญกรรม
ศาสตราจารย์สัญญาฯ ได้ทิ้งสมบัติอันมีค่าไว้เบื้องหลังมากมายมหาศาล ปรากฏว่าที่บ้านของท่านแถบถนนสุขุมวิทนั้น มีห้องสมุดส่วนตัวที่เต็มไปด้วยหนังสือ เอกสาร แฟ้มงาน รูปภาพ เทปวีดิทัศน์ ฯลฯ จำนวน 5 ห้อง ประมาณว่ามีสิ่งของต่างๆ ถึง 1,890 รายการ สมบัติอันล้ำค่านี้ทายาทของท่าน คือ นายแพทย์ จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ประสงค์จะมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดินเพื่อประโยชน์ในการศึกษาสืบไป (เอกสารดังกล่าวได้รับการจัดหมวดหมู่บัญชีรายการตามหลักของจดหมายเหตุเรียบร้อยแล้ว)
จากการปรึกษาหารือกันในกลุ่มผู้ที่สนใจทางด้านหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติ ได้ผลสรุปว่า เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะดำเนินการสร้าง "หอเกียรติยศศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์" เพื่อเชิดชูเกียรติท่านในทำนองเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า HALL OF FAME ขึ้นโดยเฉพาะในลักษณะเดียวกันกับหอจดหมายเหตุพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และหอจดหมายเหตุฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยที่ "หอเกียรติยศ" ศ. สัญญา ธรรมศักดิ์นี้จะขยายเชื่อมโยง "อดีต" กับ "ปัจจุบัน" และ "อนาคต" มีลักษณะพิเศษอเนกประสงค์ 3 ประการ คือ เป็น
1. พิพิธภัณฑ์ จัดแสดงประวัติและผลงาน
2. หอจดหมายเหตุ ที่เก็บรักษาเอกสาร ชีวิตและงาน
3. ห้องสมุดกฎหมายสำหรับประชาชน ที่เป็นศูนย์กลางการค้นคว้าทางด้านกฎหมายสำหรับประชาชนทั่วไป
การดำเนินการจัดตั้ง "หอเกียรติยศ" นี้น่าจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน ในเรื่องของห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์เพื่อสร้างองค์ความรู้และปัญญาให้กับสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง และยังสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 25 มีใจความว่า "รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่นอย่างพอเพียง และมีประสิทธิภาพ"
การจัดตั้ง "หอเกียรติยศ" นี้จะสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี ก็ต้องอาศัยความสนับสนุนและผลักดันจากหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคสมัยของท่านศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ตลอดจนสถานที่ตั้ง ดังนั้นจึงขอเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาโครงการจัดตั้ง "หอเกียรติยศศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์" เป็นกรณี พิเศษด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
ขอแสดงความนับถือ
นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ
นายกสมาคมจดหมายเหตุไทย
หมายเหตุ
(1) สำเนาส่งนายกรัฐมนตรี กรรมการสภามหาวิทยาลัย กัลยาณมิตรธรรมศาสตร์ สื่อมวลชน และประชาชนชาวไทย
(2) เอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับ "โครงการจัดตั้งฯ" ตลอดจนประมาณการ "งบประมาณ" จะหาได้ที่โครงการหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
จดหมายถึง บก.
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/505 | 2004-09-27 23:30 | ภาคประชาชนยั๊วะ "เนวิน" วุ่นงบดับไฟใต้ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-27ก.ย.47 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มีการประชุมสรุปงบประมาณโครงการส่งเสริมอาชีพปศุสัตว์ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตัวแทนภาคประชาสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแกนนำกลุ่มเลี้ยงสัตว์กว่า 300 คนเข้าร่วมประชุม
ประเด็นสำคัญของการประชุมคือ การพิจารณากรณีที่ฝ่ายราชการปรับลดงบประมาณโครงการนี้จาก 298 ล้านบาท เหลือเพียง 38 ล้านบาท เพื่อดึงงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ในโครงการของนายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยที่ประชุมมีมติจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี, กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.), กระทรวเกษตรและสหกรณ์ และกรมปศุสัตว์ เพื่อทวงถามว่าเหตุใดจึงต้องปรับลดงบประมาณโครงการดังกล่าว และขอให้จัดงบประมาณจำนวนดังกล่าวมาให้ภาคประชาสังคมดังเดิม
ทั้งนี้หากไม่จัดสรรมาให้ ก็จะส่งโครงการทั้งหมดคืนให้ดับรัฐบาล และจะไม่ให้ความร่วมมือกับกับรัฐบาลในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรมปศุสัตว์อีกต่อไป
นายอับดุลเราะมาน ลาเต๊ะ แกนนำองค์กรชุมชนปัตตานี ในฐานะตัวแทนภาคประชาสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว ทำไมต้องตัดงบประมาณไปให้โครงการอื่น อยากรู้ว่าใครเป็นคนตัด และเหตุใดนายอนันต์ ภู่สิทธิกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงไปอ้างในที่ประชุม กอ.สสส.จชต. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2547 ว่า มติในที่ประชุมภาคประชาสังคม ตอนต้นเดือนส.ค. 47 ที่จังหวัดนราธิวาส เห็นชอบให้บูรณาการงบประมาณในโครงการที่เสนอโดยภาคประชาสังคม เป็นผลให้ที่ประชุม กอ.สสส.จชต. มีมติปรับลดงบประมาณโครงการนี้ ทั้งที่ภาคประชาสังคมไม่เคยมีมติตามที่นายอนันต์กล่าวอ้าง
นายอับดุลเราะมาน กล่าวต่อไปว่า ภาคประชาสังคมมาทราบเรื่องนี้ ก็ต่อเมื่อทำรายละเอียดโครงการส่งไปให้กรมปศุสัตว์ แล้วถูกตีกลับว่างบประมาณถูกตัดไปแล้ว ทำไม กรมปศุสัตว์จึงไม่แจ้งให้ทราบก่อน ทำให้ชาวบ้านที่เสนอโครงการไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ประชุมจึงได้ถามกันว่า จะดำเนินโครงการต่อหรือไม่ เพราะถ้ายังต้องการก็ต้องมาปรับโครงการใหม่ อย่างเช่นโครงการเลี้ยงแพะที่มีทั้งหมด 109 กลุ่ม ที่ได้รับการสนับสนุนจริงๆ เพียง 22 กลุ่ม วงเงินงบประมาณ 9 ล้านบาทเท่านั้น สำหรับโครงการส่งเสริมอาชีพปศุสัตว์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตามข้อเสนอของภาคประชาสังคม
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/506 | 2004-09-27 23:33 | ขวางท่อก๊าซไทย-มาเลย์ขึ้นฝั่ง | ศูนย์ข่าวภาคใต้-เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 กันยายน 2547 กลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซียกว่า 300 คน รวมตัวกันที่บริเวณที่ดินสาธารณะริมชายทะเลบ้านโคกสัก หมู่ 6 ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นบริเวณที่ท่อส่งก๊าซจากทะลขึ้นฝั่งเข้าโรงแยกก๊าซ
โดยชาวบ้านติดตั้งป้ายไม้กระดานขนาด 6 x 2 เมตร พร้อมเขียนข้อความว่า "ที่ดินสาธารณะโคกชายทะเลห้ามบุกรุก" รวมทั้งปักแนวเขตที่ดิน
ระหว่างนั้น ทางบริษัท ทรานส์ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ได้มอบหมายให้ผู้รับเหมานำรถแบ๊กโฮเข้ามา 1 คัน เพื่อจะปรับพื้นที่ริมชายหาด แต่ถูกชาวบ้านไล่กลับ
นายสุไลมาน หมัดยูโซ๊ะ ตัวแทนกลุ่มคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซและท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลสะกอม มีมติไม่อนุญาตให้ทีทีเอ็มใช้ประโยชน์ในดินสาธารณะแปลงดังกล่าวไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา และยังเพิกถอนใบอนุญาตใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ที่นายรอเซบ เส็นอาลี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคนเก่า เป็นผู้ลงนามอนุมัติโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสะกอม
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/513 | 2004-09-28 21:24 | เปิดสนามบินหนองงูเห่า 29 ก.ย.ปีหน้า | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรี เห็นชอบตามเป้าหมายที่จะให้สนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้อย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 29 ก.ย. 2548 โดย พ.ต.ท.โททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมากับเครื่องบินลำแรกที่จะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ
นอกจากนั้น ครม. เร่งรัดการดำเนินการใน 6 กรอบ คือ เร่งรัดความคืบหน้าการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยง เร่งรัดระบบขนส่งมวลชนที่มีแผนจะจัดเดินรถโดยสารเชื่อมต่อกับจุดให้บริการรับส่งผู้โดยสาร และระบบขนส่งผู้โดยสารภายใน
เร่งรัดการก่อสร้างภายในสนามบินทั้งทางวิ่ง ทางขึ้น ลานจอด รวมถึงที่จอดรถรวม 13 งาน เร่งรัดระบบสาธารณูปโภคเพื่อป้องกันน้ำท่วม การเร่งรัดระบบสารสนเทศสนามบิน และเร่งรัดแผนการย้ายหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการย้ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/511 | 2004-09-28 21:12 | เอาทักษิณคืนไป - เอาประชาธิปไตยคืนมา | ส.ศ.ษ *
1
เราต้องไม่ลืมว่าเมื่อทักษิณ ชินวัตรเริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีเมฆหมอกปกคลุมตัวเขาในทางที่ไม่โปร่งใส โดยศาลรัฐธรรมนูญอาจลงโทษเขาให้ปลอดไปจากวิถีทางการเมืองได้ถึง ๕ ปี
พวกเราบางคนเห็นว่าควรให้โอกาสเขาบริหารราชการบ้านเมือง แม้ความมัวหมองดังกล่าวอาจเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปราศจากเจตนาในการฉ้อฉลก็ได้ พวกเราในที่นี้รวมตัวข้าพเจ้าด้วย ซึ่งช่วยทำแทบทุกอย่างให้เขาเป็นที่ยอมรับของมหาชน แม้จนหาทางสนับสนุนเขาในหลาย ๆ ทางเอาเลยก็ว่าได้
เพราะ
(๑) เราเอือมพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัยกันมาอย่างแทบทนไม่ได้เอาเลย
(๒) เราเห็นว่านโยบายของพรรคไทยรักไทยมีความแปลกใหม่หลายประการ อันควรสนับสนุนและจับตามอง โดยเฉพาะก็ในเรื่องคนยากคนจน
(๓) เราเห็นว่ามีคนใหม่ ๆ เข้าไปร่วมในพรรคนี้ โดยที่หลายคนในพวกนี้เคยอยู่ในขบวนการประชาชนมาก่อน แม้จนเคยต่อสู้กับเผด็จการมาในป่าก็มี ทั้งบางคนยังเคยมีหัวก้าวหน้าทางด้านความยุติธรรมในสังคมอีกด้วย นอกเหนือไปจาก
(๔) แนวทางของที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจที่คิดจะแหวกแนวไปจากระบบโลกาภิวัตน์กระแสหลัก เช่น คิดรวมตัวกันกับประเทศเพื่อนบ้าน ถึงกับจะโยงใยไปยังประเทศยากจนด้วยกันในภูมิภาคอื่น เพื่อกำหนดนโยบายใหม่ๆ ให้ธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ ฟังโลกที่สามมากขึ้น
(๕) นอกไปจากนี้แล้ว นายกรัฐมนตรียังมีแก่ใจไปเยี่ยมคนจน ไปสนับสนุนขบวนการทางเลือกตามทางของธรรมิกสังคมนิยม อย่างพวกสันติอโศก และสมัชชาคนจน เป็นต้น
แม้พวกเราบางคนจะกริ่งเกรงใจว่าทักษิณ ชินวัตรร่ำรวยขึ้นมาอย่างนักฉวยโอกาส และการได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เป็นไปในทางธนาธิปไตยยิ่งกว่าประชาธิปไตย เราอยากให้โอกาสเขา หวังว่าเขาคงรวยพอแล้ว แล้วคงหันมารับใช้ประเทศชาติและประชาชน แต่แรกเป็นไม้คด ในบั้นปลาย อาจเป็นไม้ตรงได้กระมัง อย่างน้อยพระองคุลีมาลย์ก็เป็นแบบอย่างที่ให้กำลังใจได้มิใช่น้อย
แต่แล้วทักษิณได้แสดงบทบาทในทางที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชาติและราษฎรยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที ถึงกับตระบัดสัตย์ และฉ้อฉลในแทบทุกกรณี เอาชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางความยิ่งใหญ่ของเขาและสมัครพรรคพวก เพิ่มเงินและอำนาจให้พวกตน จนขยายอิทธิพลไปในภูมิภาคนอกประเทศ แม้จนในนานาชาติ โดยใช้ภาษีอากรของราษฎรไปเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ของบรรษัทของพวกตน
คนที่เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสคือคนยากคนจน ซึ่งถูกเบียดเบียนบีฑาในทุก ๆ ทาง แม้จนมีวิธีการยุแยกให้ขบวนการของประชาชนและคนในแวดวงขององค์กรภาคเอกชนแตกกัน ใช้เงินซื้อ ใช้อำนาจรุกราน ยังนโยบายการพัฒนาประเทศแบบโลกาภิวัตน์ที่ล้าสมัยไปไม่น้อยกว่า ๓๐ ปีนั้น ทำลายศักดิ์ศรีของประชาชนและสิทธิมนุษยชน และทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าจะท่อแก๊ซที่สงขลา เหมืองแร่โปตาสที่อุดร รวมถึงการอนุญาตให้ขุดบ่อแก๊ซขึ้นใหม่ในจังหวัดนั้น อย่างเช่นที่ภูฮ่อม อำเภอหนองแส รัฐบาลอนุญาตหรือยัง ไม่ปรากฏ แต่บริษัทผู้เป็นเจ้าการในด้านนี้ก็เริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยที่พระเณรและราษฎรในละแวกนั้นเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน แต่ทางราชการกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน มิใยต้องเอ่ยถึงที่อื่น ๆ ดังทางบ่อนอกที่ผู้นำชาวบ้านถูกสังหารไปเมื่อเร็วๆ นี้นั้น ข้าพเจ้าจะไปปาฐกถาที่นั่นในวันที่ ๒ ตุลาคมนี้แล้ว ยังกรณีของปากมูลและเขื่อนต่าง ๆ ที่คาราคาซังมาแต่รัฐบาลก่อน รวมถึงขบวนการกรรมกรและชาวนา ตลอดจนผู้ลี้ภัยต่าง ๆ ล้วนได้รับทารุณกรรมอย่างปราศจากการใยดีจากรัฐบาลทั้งสิ้น หาไม่ก็ปล่อยให้ข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นปู้ยี้ปู้ยำไพร่บ้านพลเมืองถึงกับมีการขู่เข็น แม้จนสังหาร หาไม่ก็ถูกอุ้ม หรือหายไปเฉย ๆ
ไม่แต่คนยากคนจน หรือคนกลุ่มน้อยและผู้ลี้ภัยเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบอันเลวร้ายจากรัฐบาลนี้ หากการลิดรอนผลประโยชน์และการเอารัดเอาเปรียบแผ่ขยายไปยังชนชั้นกลาง และพ่อค้าม้าขายนายธนาคาร ที่อยู่นอกแวดวงของเครือบริษัทชินวัตรและบริษัทบริวารของเขา ซึ่งเข้าไปร่วมอยู่ในคณะรัฐมนตรี หาไม่ก็คุมกิจการต่าง ๆ ทางด้านธุรกิจการค้าร่วมกับเขา แม้จนรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ก็ถูกแปรรูปไปเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของเขาและพวกเขากันแทบทั้งนั้น
ข้าพเจ้าจะไม่ขยายรายละเอียดเรื่องยุทธการยึดทรัพย์ประชาชนโดยอำนาจรัฐในที่นี้ เพราะจะมีผู้อื่นพูดได้ดีกว่า แต่นี่เป็นปัจจัยหลักประการหนึ่ง แห่งความเลวร้ายของรัฐบาลนี้ ที่ยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาลก่อน ๆ ซึ่งโกงกินกันมาแทบทั้งสิ้น หากเทียบกันแล้ว นั่นมันระดับจุลภาค หากนี่เป็นระดับมหัพภาค
ขบวนการโกงกินนี้ขยายไปจนถึงกับเอาเงินแผ่นดินไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพียงเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ของบรรษัทตน โดยจะไม่ขอพูดถึงความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของรัฐมนตรีบางคน เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศ หากจะขอเอ่ยถึงตัวนายกรัฐมนตรีเอง เพียง ๒-๓ กรณี
๑) การที่ใช้เงินไปอย่างมหาศาลในการจัดงาน APEC เพื่อให้ประธานาธิบดีสหรัฐมาร่วมด้วยในกรุงเทพฯ นั้น ประเทศชาติไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ดังงาน APEC ก็เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว ว่าเป็นงานคอกเทลปาร์ตี้ในระดับสากลเท่านั้นเอง แต่ไฉนรัฐบาลไทยจึงฉิบหายทรัพยากรไปอย่างเหลือเชื่อ แม้จนยอมส่งทหารไทยไปอิรัก ทั้ง ๆ ที่นี่เป็นรัฐประศาสโนบายอันเลวร้ายที่สุด ดังจะขอกล่าวต่อไป ผลที่ได้จากบุชและ APEC ก็เพียงเพื่อแสดงสถานะและฉวยโอกาสในทางนานาชาติของบรรษัทข้ามชาติอย่างชินวัตรและคณะเท่านั้นเอง
๒) การติดต่ออย่างสยบยอมกับจีน ก็เพียงเพื่อค้าขายให้บรรษัทเขา ยิ่งกว่าเพื่อศักดิ์ศรีของสยามและความเป็นพุทธศาสนิกของราษฎรส่วนใหญ่ การไม่ให้ทะไลลามะเข้าประเทศนั้น ทักษิณและบริวารไม่รู้เลยหรือว่าเป็นการยอมทำตามจีนอย่างเชื่อง ๆ แม้จนจับคนสวีเดนที่ถือลัทธิฟูลองกอง ซึ่งเป็นการเอาใจรัฐบาลจีน ถึงขนาดขัดรัฐธรรมนูญไทย รัฐบาลจีนไม่เคยดูถูกรัฐบาลไทยเท่ารัฐบาลนี้ ดังรัฐบาลพม่าก็เช่นกัน
๓) กรณีของพม่านั้น ก็ดุจดังจีน รัฐบาลนี้ไม่มีจุดยืนในทางสิทธิมนุษยชนและในทางเสรีภาพของชนกลุ่มน้อย เอาเลย อย่างน้อยรัฐบาลก่อนยังกล้าให้ทะไลลามะเข้าเมืองไทย ทั้งยังใยดีกับอองซาน ซูจี และขบวนการประชาธิปไตยในพม่า โดยที่รัฐบาลนี้ร่วมมือกับรัฐบาลทหารพม่าอย่างสุด ๆ ทั้ง ๆ ที่นั่นมันฆาตกร ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่า รสช. ซึ่งพวกเราขับไล่ไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งทักษิณยังเอาเงินแผ่นดินไปให้รัฐบาลเผด็จการทหารพม่ายืมอย่างมหาศาล นอกเหนือการเอางบประมาณแผ่นดินไปให้รัฐบาลทหารพม่าสร้างถนนอย่างสมัยใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการให้เปล่า ทั้งนี้เพียงเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจการค้าของตน ดังมีบริษัทโทรศัพท์มือถือไทยที่ลูกชายเขาเป็นประธาน ร่วมมือกับบริษัทโทรศัพท์มือถือของพม่า ซึ่งลูกชายนายกรัฐมนตรีพม่าเป็นประธาน
ผลก็คือ ผู้มีอำนาจสูงสุดในพม่าปลดนายกรัฐมนตรีของเขาออกจากอำนาจแล้ว แม้จะยังมีตำแหน่งในทางราชการอยู่ก็ตาม โดยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของพม่านั้น ถูกไล่ออกตรง ๆ เอาเลย และประธานประเทศของพม่าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาไม่ไว้ใจไทย รังเกียจความฉ้อฉลของรัฐบาลไทย แล้วทำไมเราไม่ปลดรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและนายกรัฐมนตรีของไทยบ้างเล่า
นายกรัฐมนตรีคนนี้ ที่อ้างว่ามีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลนั้น แท้ที่จริง เขาเดินตามก้นระบบเศรษฐกิจและการเมืองกระแสหลักของสหรัฐ ซึ่งมียอช บุช เป็นแม่แบบ และเขาเองก็ต้องการเอาอย่างหลี กวน ยู ที่สิงคโปร์ และมหาธีร โมหมัด แห่งมาเลเซีย โดยเขาแลไม่เห็นเลยว่าสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ ราษฎรหมดศักดิ์ศรีในทางความเป็นคน ปราศจากสิทธิมนุษยชนหรือเสรีภาพทางสื่อสารมวลชนด้วยประการทั้งปวง คนสิงคโปร์เป็นเพียงสัตว์เศรษฐกิจ ที่รวยได้ก็เพราะเป็นประเทศเล็ก และสามารถในการเอาเปรียบประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชาญฉลาด ในขณะที่มาเลเซียนั้น มีคนยากไร้มากกว่าไทยเสียอีก แม้ดูทีท่าว่าจะดีกว่าไทยในทางเศรษฐกิจอย่างฉาบฉวยก็ตามที
นโยบายตามก้นสหรัฐ ที่ใช้วิธีแก้ปัญหาต่างๆ โดยใช้เงินและอำนาจนั้นเป็นอันตรายยิ่ง โดยจะมีศัตรูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ก่อการร้ายก็จะขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ในสหรัฐเองประชาชนชาวเมืองและองค์การเอกชน รวมทั้งหน่วยงานทางศาสนาต่าง ๆ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านยิ่ง ๆ ขึ้นทุกที แม้สื่อกระแสหลักจะไม่รายงานข่าวที่ว่านี้ก็ตามที ดังที่ทักษิณก็เอาอย่างสหรัฐ มาคุมสื่อสารมวลชนในเมืองไทยอย่างได้ผลในระยะสั้นมิใช่น้อย คือใช้เงินซื้อ และใช้อำนาจขู่ คล้ายๆสหรัฐนั้นแล
ขอย้ำว่านโยบายดังกล่าว ปราศจากความชอบธรรม ปราศจากศีลธรรม และไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนทางศาสนาและวัฒนธรรมของคนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนาและวัฒนธรรม ย่อมเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง ดังการแก้ไขปัญหาทางปัตตานีที่ใช้เงินซื้อ และใช้กำลังอาวุธนั้น จะเลวร้ายไปเรื่อย ๆ เมื่อไรรัฐบาลและข้าราชการ ตลอดจนคนในกระแสหลัก ยอมรับความเลวร้ายของเรา การกดขี่ข่มเหงชาวบ้านมลายูที่เป็นมุสลิมที่แล้ว ๆ มา ทั้งที่ปัตตานี สงขลา และจังหวัดอื่น ๆ แล้วยอมขออภัยเขา ยอมเปลี่ยนนโยบายกระแสหลัก โดยให้เกียรติและศักดิ์ศรีแก่ผู้คนในท้องถิ่นที่ต่างศาสนาและวัฒนธรรมกับเรา รวมถึงความเป็นตัวเองของเขา นั่นแลจึงจะแก้ปัญหาได้
ความข้อนี้อาจารย์ปรีดี พนมยงค์เคยทำมาแล้วอย่างได้ผล กล่าวคือไม่แต่ชื่อของท่านรัฐบุรุษอาวุโสผู้นี้เท่านั้นที่สำคัญ นโยบายและคุณธรรมทางการเมืองของท่านก็สำคัญ อันควรนำเอากลับมาใช้ให้สมสมัย ซึ่งหมายถึง การเคารพบุคคลต่าง ๆ อย่างจุฬาราชมนตรีแช่ม พรหม ยงและหะยี สุหลง อับดุลกาเดร์ วีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ ด้วย โดยต้องกล้าละทิ้งวีรบุรุษปลอมอย่างสฤษดิ์ ธนรัชต์ และอนุสาวรีย์ของมันที่กลางจังหวัดขอนแก่นอีกด้วย โดยเอารูปสมเด็จพระมหาอาสภมหาเถระขึ้นติดตั้งไว้แทน โดยที่ท่านผู้นี้ถูกมันจับสึกและขังคุกไว้ถึง ๕ ปี ในขณะที่ท่านเป็นอธิบดีสงฆ์ของวัดที่ใหญ่สุดในกรุงเทพฯ และเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่สุดด้วยเช่นกัน ท่านผู้นี้มีชาตกาลในจังหวัดขอนแก่น และเป็นวีรบุรุษแห่งภาคอีสาน เช่นเดียวกับนายเตียง สิริขัณฑ์ และอดีตรัฐมนตรีสี่คนของภาคนั้น ที่ถูกสังหารไปก่อนหน้า ส. ธนรัชต์ หากโดยเผ่า ศรียานนท์ ซึ่งก็มีอนุสาวรีย์อยู่ที่หน้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
ชะรอย พ.ต.ท. ทักษิณจะถูกสะกดโดยแบบอย่างทางอธรรมจากฆาตกรเผ่า ศรียานนท์ มาแต่สมัยเป็นตำรวจมาแล้วก็ได้
ที่กล่าวมาแล้วว่านโยบายของทักษิณ ชินวัตรผิด ใช่ไม่ว่าพรรคไทยรักไทยผิด เพราะพรรคนี้ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หากสมาชิกพรรครวมถึงรัฐมนตรีต่าง ๆ เป็นเพียงข้าทาสหรือบริวารของทักษิณและพจมาน ชินวัตร ซึ่งชี้ชะตากรรมของพรรคและของบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้า ซึ่งมีอำนาจเหนือการเมือง เขาทำทุกอย่างเพื่อลิดรอนวัฒนธรรมพื้นบ้าน แม้จนการเกษตรซึ่งเป็นหัวใจของเรา เขาก็อุดหนุน GMO หรือการใช้ของเทียม ของปลอม เพื่อประโยชน์ของบริษัทพวกเขา เช่นเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีลูกเขยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อยู่ภายใต้ทักษิณ ที่สุดจนเรื่องไข้หวัดนกที่เบียดเบียนไก่แล้วขยายไปถึงคน เราก็ต้องไม่ลืมว่าบรรษัทเจริญโภคภัณฑ์คุมธุรกิจการด้านนี้อย่างผิดมนุษยธรรมและสัตวธรรมมานานเท่าไรแล้ว จะให้ทักษิณไปอุดหนุนชาวบ้านที่เลี้ยงไก่บ้านเป็นไปได้หรือ เวลาทักษิณกินไก่ แม้จะอย่างหลอกๆ ทำไมจึงไปกินที่ KFC ซึ่งทางสหรัฐห้ามใช้คำว่า Kentucky Fried Chicken อีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะนั่นมันไก่ผีดิบ
การเบียดเบียนบีฑาราษฎรและองค์กรพัฒนาเอกชนนั้นไม่มีการยั้งมือ ใครวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ย่อมถูกหัวหน้ารัฐบาลตอบโต้ด้วยถ้อยคำอันรุนแรง ทั้งยังตามอาฆาตมาดร้ายด้วย แม้จนคนอย่างนายแพทย์ประเวศ วะสี และนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รวมถึงนายจำลอง ศรีเมืองก็โดนกลั่นแกล้ง มิใยต้องเอ่ยถึงนายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ นี่ไม่ใช่เรื่องล้างแค้นของนายปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เท่านั้น หากนายทักษิณมีกึ๋นพอ ย่อมห้ามทัพไว้ได้ ดังที่ห้ามทัพนายเนวิน ชิดชอบในเร็ว ๆ นี้
คณะหรือบริวารของเขายังรังแกและลดทอนอำนาจของข้าราชการประจำในทุกกระทรวงทบวงกรม ดังกระทรวงการต่างประเทศนั้น ต่อไปจะมีแต่กะเทยกับขันทีที่เป็นใหญ่ ยังกระทรวงอื่น ๆ ก็จะมีแต่มิจฉาชีพและคนที่ปราศจากกึ๋นหรือกระดูกสันหลังเท่านั้น ที่จะไต่เต้าไปเอาดีได้ในทางราชการ พวกข้าราชการ CEO ที่ว่านั้นคือลูกสมุนของเขาแทบทิ้งสิ้น
นี่ไม่ใช่แต่เผด็จการรัฐสภาซึ่งรวมถึงวุฒิสภาด้วย หากเผด็จการทางด้านบริหารอีกด้วยโดยก้าวก่ายไปในระบบราชการ รวมถึงก้าวก่ายไปยังสื่อสารมวลชนกระแสหลักเกือบทั้งหมด
นอกจากซื้อและข่มขู่แล้ว สื่อกระแสหลักก็อุดหนุนแต่การพนันขันต่อ Talk Show และละครน้ำเน่าต่าง ๆ ซึ่งประเทืองกิน กาม เกียรติและอุดหนุนความรุนแรงและความขี้ฉ้อตอแหลอย่างแยบยลต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงสิ่งซึ่งรวมเรียกว่าEntertainment Complex อีกด้วย ความข้อหลังนี้ข้าพเจ้าพูดไว้แล้วในเรื่อง ผลกระทบนโยบายศูนย์บันเทิงครบวงจรของรัฐบาลทักษิณต่อการพัฒนาแก้ไขปัญหาความยากจน : จากมุมมองทางจริยธรรม มีตีพิมพ์อยู่ใน เสขิยธรรม มาแล้ว ทั้งนี้โดยไม่ขอเอ่ยถึงหวยบนดินซึ่งมีความถ่อยรวมอยู่ด้วยมากน้อยกว่าห้วยใต้ดินเพียงไร
2
พวกเราในขบวนการพัฒนาของฝ่ายเอกชนได้ร่วมมือกันแทบทุกระดับ และแทบทั้งราชอาณาจักร จนผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาได้ในปี ๒๕๔๐ ซึ่งถือได้ว่าดีมาก อย่าง เป็นประชาธิปไตยค่อนข้างมาก และมีการคานอำนาจรัฐอย่างน่าสังเกต ไม่ว่าจะวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและผู้ตรวจการรัฐสภา ยังคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารที่มีมาก่อนรัฐธรรมนูญอีกด้วย
แล้วเหตุไฉนองคาพยพเหล่านี้จึงมักไม่ทำงาน ผู้ตรวจการรัฐสภาควรมีสถานะไม่แพ้เปาบุ้นจิ้น แต่ก็กลายเป็นสากกะเบือไป ยังศาลรัฐธรรมนูญก็มีสมาชิกที่เป็นเบื้อหรือเป็นมารรวมอยู่ด้วยไม่น้อย ดังกรณีที่ข้าพเจ้าขอให้ศาลนี้มีวินิจฉัยว่ากฎหมาย ปตท. ที่ใช้จับข้าพเจ้า ผู้เข้าไปขวางท่อแก๊ซไทย - พม่า ที่เมืองกาญจน์ว่าเป็นโมฆะนั้น พยานปากเอกของข้าพเจ้าคือนายคนิต ณ นคร รองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ อดีตอัยการสูงสุดและหมอกฏหมายจากเยอรมัน ซึ่งให้ถ้อยคำอย่างมีน้ำหนักมาก หากศาลไม่เอ่ยถึงเลย แล้วลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า กฏหมายดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยไม่ให้เหตุผลใด ๆ ยังคำตัดสินก็มั่วซั่วเลวร้าย ดังกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ศาลรัฐธรรมนูญก็ลงมติถอดทอนได้ง่าย ๆ อย่างปราศจากมโนธรรมสำนึกเอาเลย
ส่วนคณะกรรมการที่ควรกล้าเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการนั้น ตั้งแต่รัฐบาลชวน หลีกภัยถีบนายสุรสีห์ โกศลนาวินออกไปแล้ว สำนักนายกรัฐมนตรีก็ใช้สำนักงานดังกล่าวเพื่อปิดข้อมูลข่าวสารอันเลวร้ายต่าง ๆ ของทางราชการแทบทั้งนั้น ที่ว่ารัฐบาลรู้อะไรประชาชนต้องรู้เช่นกัน ก็เลยเป็นวลีที่หลอกลวงประชาชน ดังที่ทักษิณทำเช่นนี้อยู่ทุกวันเสาร์นั้นแล
ทักษิณรู้ดีว่า เขาใช้เงินกับอำนาจซื้อหรือทำให้คนในสถาบันนั้น ดูสยบยอมกับเขาได้ เขาเข้าไปก้าวก่ายแม้จนวุฒิสภา นับว่านี้เป็นอันตรายยิ่งนัก
ที่ร้ายยิ่งกว่านี้ ก็ตรงที่ รัฐบาลนี้หนุนอย่างลับ ๆ กับพวกธรรมกาย ซึ่งเป็นสัทธรรมปฏิรูปที่เลวร้ายสุด ดังภรรยาเลขาธิการพรรคไทยรักไทยทำบุญไปกับธรรมกายนี้ไม่รู้ว่ากี่ล้านต่อกี่ล้าน นี่เป็นเพียงตัวเลขที่เปิดเผย และที่ไม่เปิดเผยเล่า รัฐบาลนี้ไม่สนใจใยดีกับพระดีที่ปฏิบัติธรรม หากอุดหนุนอรหันต์ปลอม ให้ออกมาโจมตีมหาเถรสมาคม พร้อม ๆ กับการเชียร์รัฐบาลอย่างหน้าด้าน ๆ ใครอยากทราบความข้อนี้ ขอให้อ่าน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับนี้ คือฉบับวันที่ ๒๔ สิงหาคม - ๓ กันยายน ๒๕๔๗
ทั้ง ๆ ที่ทักษิณออกมาปราม พระไม่ให้เทศน์ทางการเมือง ถ้าพระองค์ใดเทศน์เตือนสติรัฐบาล ให้ห่างจากอบายมุข ให้ห่างจากมุสาวาท ให้ห่างจากผรุสวาท ให้ห่างจากความรุนแรง หากให้ใช้สติวิจารณญาณ รัฐบาลตอบโต้และรังควาน พระที่ชักชวนให้คนส่งไปรษณียบัตรเป็นแสน ๆ ฉบับ สนับสนุนรัฐบาลและเทศน์ ๑๓ ข้อ "อุ้ม" รัฐบาล ถือว่านั่นไม่ใช่การเมือง เคยพิจารณากันบ้างไหมว่านี่มันอรหันต์ปลอมหรือไม่ ถ้าหลวงตาบัว แห่งอุดรธานีอุ้มทักษิณได้ หลวงตาปั่นแห่งนนทบุรีก็อุ้มชวน หลีกภัยได้ ใช่ไหม
การที่ทักษิณปู้ยี้ปู้ยำพระพุทธศาสนา รวมถึงศาสนาอิสลามนั้น ยังไม่เลวร้ายเท่ากรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงพระราชประสงค์ไว้ชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจแบบพอเพียง หากทักษิณเน้นในเรื่องเศรษฐกิจแบบเกินตัว แบบฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แบบโลกาภิวัตน์ และใช่แต่เท่านั้น ตั้งแต่มีรัฐบาลมา พระราชาไม่เคยตรัสตรง ๆ กับประชาชนเลยว่ารัฐบาลโกงกินประชาชนถึงขนาดรัฐบาลนี้ ดังนายสุเมธ ตันติเวชกุล ผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ออกมาแสดงทัศนะอย่างชัดเจนถึงความทุจริตของรัฐบาลนี้ และนี่เป็นเพียงผิว ๆ เพราะรัฐบาลนี้โกงกินยิ่งกว่าที่นายสุเมธพูดอีกเป็นไหน ๆ ดังคนอื่น ๆ คงจะบรรยายต่อไปถึงยุทธการยึดทรัพย์ประชาชนโดยอำนาจรัฐ
ก็ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ต้องฟังองค์พระประมุข ซึ่งทรงมีสิทธิในการเตือนรัฐบาล ในการห้ามปรามรัฐบาล และในการสนับสนุนรัฐบาล นี่เขาไม่เคยฟัง หรือแสร้งทำทีท่าว่าฟัง แต่ไม่ทำตาม แม้จนการเสนอร่างพระราชบัญญัติขึ้นไปให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วถูกตีกลับลงมานั้น ถ้าเป็นรัฐบาลที่ประกอบไปด้วยจรรยาบรรณ ย่อมลาออกไปแล้ว หากนี่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน โทษกันไปโทษกันมา
ที่ร้ายยิ่งกว่านี้ก็ตรงที่การไม่สำรวมวาจา ที่แสดงออกมาเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่นว่า ถ้ารัชกาลที่ ๙ ไม่โปรด รัชกาลที่ ๑๐ ก็โปรด นี่ไม่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดอกหรือ แต่ไม่มีสื่อมวลชนรายงานความข้อนี้ออกมาให้ปรากฏ แต่อย่าลืมนะว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง
สำหรับข้าพเจ้าเองนั้น ไม่เห็นทางอื่นอีกแล้ว นอกเสียจากว่า ต้องช่วยกันทุ่มทักษิณลงจากอำนาจให้ได้ เมื่อจำลอง ศรีเมืองเป็นขวัญใจของประชาชนนั้น พรรคพลังธรรมก็ขึ้นเร็ว จนมีมารมาอยู่ด้วยมาก รวมทั้งคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรด้วย และแล้วพรรคนั้นก็ปลาสนาการไปเร็ว พรรคไทยรักไทยก็เช่นกัน แม้พรรคนี้จะมีเงินและอำนาจอันฉ้อฉลมาก แต่ก็หาพ้นความเป็นอนิจจังของสังคมไปได้ไม่
แล้วเราจะร่วมกันเอาทักษิณออกจากอำนาจได้อย่างไร ในเมื่อเขาใช้โครงสร้างทางกลไกแห่งรัฐ โดยมี ธนาธิปไตยเป็นหลัก เราก็ ต้องต่อสู้กับเขาด้วยกลไกทางสังคม ซึ่งมีธรรมาธิปไตยเป็นหลัก เขาใช้ความเท็จ เราใช้ความจริง เขาใช้ความรุนแรง เราใช้สันติวิธี เขาคุมสื่อกระแสหลัก เราใช้สื่อทางเลือก อย่างที่วุฒิสมาชิกจอน อึ๊งภากรณ์ เริ่มมิตรไทยขึ้นแล้วทางอินเตอร์เน็ต โดยเราต้องไม่ลืมว่าสมัยรัฐบาลหอยของธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่รัฐบาลไทยเป็นจอมเผด็จการอย่างสุด ๆ นั้น เราก็มี มิตรไทย เป็นนิตยสารที่เน้นไปทางสัจจะและเสรีประชาธิปไตย ตีพิมพ์ที่ในกรุงลอนดอน แล้วไม่นานรัฐบาลหอยก็หลุดลอยจากกระดองไป
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ก็เป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก หากโรงเรียนต่าง ๆ รวมทั้งราชภัฏต่าง ๆ ทางภาคอีสานจะรวมตัวกันปลุกระดมครูอาจารย์ให้เห็นคุณค่าของสัจจะและประชาธิปไตย ด้วยการต่อต้านทักษิณกันไปทุกสถาบันการศึกษา และขยายจากโรงเรียนและวิทยาลัยออกไปยังประชาคม และขยายไปยังภาคอื่น ๆ นี้แลคือการนำเอาธรรมะและสัจจะกลับมา
สมชาย หอมละออ ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนกับนานาชาติ น่าจะขยายเครือข่ายออกไปในทางสันติประชาธรรม อย่างเป็นรูปธรรม อย่าลืมว่าสมัยนี้เครือข่ายขององค์กรเอกชนในระดับนานาชาตินั้นสำคัญยิ่งนัก
รัฐบาลนี้ยังหลงอยู่กับปัญหานานาชาติที่เป็นของปลอม และมองเห็นของปลอมว่าเป็นของจริง แม้คนอย่างรัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานี้ คือคนที่เลวสุดสำหรับกระทรวงนั้น จำเดิมแต่เกิดกระทรวงต่างประเทศมา เขายังนึกว่าจะมีโอกาสเป็นเลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้
พระและโต๊ะครู ที่ถูกรัฐบาลนี้เอาเปรียบมา น่าจะหาทางรวมตัวกันหรือแยกกันสวดมนต์ภาวนา ไล่จัญไร ไล่อัปรีย์ และปลุกมโนธรรมสำนึกของศาสนิกให้อยู่ในทางธรรม ต่อต้านอธรรม โดยเฉพาะพระที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานคนจนนั้นต้องหันเข้าหากำพืดเดิม เลิกดัดจริตดีดดิ้นด้วยการเอาอย่างระบบศักดินาธนาธิปไตย
บำรุง คะโยธาและคณะ ต้องหาทางรวมสมัชชาคนจนให้ได้ อย่าให้รัฐบาลใช้เงินมาซื้อพวกเรา ต้องเข้าใจว่าเขาใช้วิธี Divide and Rule หากเราต้องรวมพลังกันที่รากหญ้าให้ได้ โดยมีวิถีชีวิตแบบไทย หากโยงใยไปยังกรรมกรและชาวนาในระดับสากล นี่จะเป็นพลังที่สำคัญยิ่ง
รสนา โตสิตกระกูลและคณะ ต้องไม่แต่ต่อต้านคอร์รัปชั่นที่มีการโกงกินกันเท่านั้น หากต้องรวมกันต่อต้านความฉ้อฉลในทุก ๆ ทางอย่างเป็นรูปธรรม หากรวมกันทำในระดับต่าง ๆ อย่างได้ผล พลังสตรีนี้จะเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญนัก
พิภพ ธงไชยและพลพรรค ก็อย่ามัวไปคิดตั้งพรรคการเมืองทางเลือก หากควรหาทางโยงใยนักธุรกิจให้มาเข้าใจปัญหาของประชาธิปไตย ผนวกกับพลังประชาชน แล้วร่วมกันโค่นล้มทักษิณ ชินวัตรอย่างฉับไว
ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ ก็ควรที่ต้องรวมกำลังคนที่จงรักภักดีในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด อย่าให้รัฐบาลอุบาทว์ลดทอนพระบรมเดชานุภาพลงไปในทุก ๆ ทาง ทั้งนี้หมายความว่าขบวนการทางเศรษฐกิจที่อยู่ใต้ฉายาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ต้องแลเห็นให้ชัดถึงบริษัทคู่แข่งในทางอธรรมอย่างพวกชินวัตร โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ต้องยืนหยัดอยู่ข้างไพร่บ้านพลเมือง ไม่ไล่ที่ราษฎรดังกับหมูหมากาไก่ ในนามของการพัฒนา เพื่อให้ผลประโยชน์แต่กับพ่อค้าหรือนักธุรกิจที่ร่ำรวยเท่านั้น นี้แลจะรวมน้ำใจของราษฏรไทยในทุกระดับ ให้จงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างแท้จริง เพื่อผนึกกำลังกันเอาชนะมาร คือหัวหน้ารัฐบาลปัจจุบัน
ถ้าทำตามข้อเสนอดังที่ว่านี้ และทำได้ยิ่งไปกว่านี้ จักสำเร็จแน่ ๆ แต่ต้องทำให้เป็นรูปธรรม นี้แลที่จะสกัดทักษิณ ชินวัตรกับพวกเปรตและอสุรกายที่รอบตัวเขาไว้ได้ ไม่ให้ได้ดำรงคงอำนาจไว้ ในการยึดทรัพย์ประชาชนไปโดยอำนาจรัฐ แล้วเอาไปเข้ากระเป๋าพวกเขา
เราเคยไล่ถนอม - ประภาส - ณรงค์มาแล้ว แม้พวกของมันจะหวนกลับมากัดเราอย่างเจ็บแสบในอีกสามปีให้หลัง และเราก็เคยไล่สุจินดา คราประยูรมาแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยไม่ต้องเอ่ยถึงการไล่เปรม ติณสูลานนท์ก่อนหน้านั้น แล้วทำไมเราจะไล่ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้ ถ้าเรามีจิตใจที่มุ่งมั่น โดยรวมพลังกันอย่างสันติ และอย่างแยบคาย ถ้าเรามีความเห็นแก่ตัวน้อยลงไปเพียงไร ไม่หวังความยิ่งใหญ่ให้เราและพวกของเรา หากรับใช้มหาชน (ไม่ใช่พรรคนั้นนะ) และความถูกต้องดีงาม เราย่อมเข้าถึงสันติประชาธรรมได้โดยแท้
* พูดก่อนการอภิปรายโต๊ะกลมเรื่อง อนาคตประชาธิปไตยไทย ในรัฐบาลธุรกิจการเมือง "จาก กตป. ถึง ปปง. ยุทธการยึดทรัพย์ประชาชนโดยอำนาจรัฐ" วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๔๗ ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ ตามคำเชิญของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
รายงานพิเศษ
| ['บทความ'] |
https://prachatai.com/print/514 | 2004-09-28 21:26 | รัฐคุมราคาเหล็กกก.ละ 16 บาท | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมดูแลปัญหาราคาเหล็กมีราคาแพง โดยพยายามควบคุมให้ราคาอยู่ที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหากไม่สามารถกระทำได้ก็ให้เปิดเสรีนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ
นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะเชิญผู้ประกอบการเหล็กรายใหญ่ในประเทศ มาหารือร่วมกันในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้เพื่อหาทางออกกรณีเหล็กภายในประเทศมีราคาแพงขึ้น
รัฐมนตรีอุตสาหกรรมยืนยันว่า ราคาเหล็กที่แพงขึ้นไม่ได้เกิดจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(เอดี ) แต่เพราะค่าขนส่งซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาไม่มีเรือในการขนถ่ายสินค้า
ทั้งนี้หากผู้ประกอบการเห็นว่าราคาเหล็กในประเทศมีราคาแพง ก็สามารถนำเข้าจากต่างประเทศ ได้อย่างเสรี โดยไม่มีปัญหาเรื่องกำแพงภาษี
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/515 | 2004-09-28 21:27 | ครม.เพิ่มค่าครองชีพขรก.พันบาท | กรุงเทพฯ- 28 ก.ย.47 น.ส.ศันสนีย์ นาคพงษ์ รองโฆษกรัฐบาล แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีการปรับปรุงค่าตอบแทนเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของข้าราชการระดับต้น(ระยะเฉพาะหน้า) ว่า จะเพิ่มค่าตอบแทนให้ข้าราชการที่มีรายได้รวมของค่าตอบแทนพิเศษ และเงินเดือน ไม่เกิน 1 หมื่นบาท/เดือน อีกคนละประมาณ 1 พันบาท/เดือน
การพิจารณาเพิ่มเงินตอบแทนพิเศษดังกล่าว เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับข้าราชการที่มีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ รวมถึงสร้างแรงสูงใจและเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนที่อยากมารับราชการ
ส่วนในระยะยาว ควรพิจารณาการปรับโครงสร้างค่าตอบแทน ซึ่ง ก.พ.อยู่ระหว่างการออกแบบระบบค่าตอบแทนแบบใหม่ ที่จะจ่ายตามผลงานและสมรรถนะ
รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ส่วนผู้ที่มีรายได้รวมค่าตอบแทนพิเศษแล้วไม่ถึง 7 พันบาท/เดือน ก็ให้ปรับขึ้นเป็น 7 พันบาท/เดือน โดยครม. มีมติให้ทุกกระทรวงกำชับให้กรมรีบเสนอบัญชีข้าราชการกลุ่มดังกล่าวเพื่อดำเนินการให้ทันปลายเดือนต.ค. นี้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/516 | 2004-09-28 21:28 | ท่องเที่ยวไทย 8เดือนแรก พุ่ง23.8% | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรายงานว่า มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเมืองไทยผ่านท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองระหว่างเดือน ม.ค. - ส.ค. 47 มีจำนวนทั้งสิ้น 5.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 23.8 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ยอดที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีคุณภาพสูง
โดยช่วงระหว่างวันที่ 1 - 15 ก.ย.นี้ มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเมืองไทยผ่านท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองทั้งสิ้น 321,271 คน เฉลี่ยวันละ 21,418 คน เพิ่มขึ้น 14.5 % เทียบกับค่าเฉลี่ยของเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/517 | 2004-09-28 21:29 | กทม.ออกบอนด์ "กรุงเทพฯ ของเรา" | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ระบุว่า กทม.มีความคิดที่จะออกพันธบัตร "กรุงเทพฯ ของเรา" เพื่อระดมทุนไปใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาเร่งด่วนต่างๆ
ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องออกพันธบัตรเพราะงบประมาณที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เช่น กรณีโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษ(บีอาร์ที) ใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการออกพันธบัตรดังกล่าวคาดว่า วงเงินอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้การดำเนินการจะต้องชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานหนี้สาธารณะ สภากรุงเทพมหานคร รับทราบก่อนซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/519 | 2004-09-28 21:31 | "หมอวิชัย" นั่งเก้าอี้ปลัดสธ. | กรุงเทพฯ 28 ก.ย.47 นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง ผู้บริหารในกระทรวงสาธารณสุข โดยแต่งตั้ง น.พ.วิชัย เทียนถาวร อธิบดีกรมอนามัย ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนั้น ยังแต่งตั้ง น.พ.ภักดี โพธิศิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา , น.พ.ธวัช สุนทราจารย์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมโรค นายสมยศ เจริญศักดิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอนามัย
น.พ.มล. สมชาย จักรพันธุ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสุขภาพจิต และน.พ.ชาตรี บานชื่น ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์
น.พ. ไพจิตร วราชิต ผุ้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ , น.พ.ปราชญ์ บุญวงศ์วิโรจน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต น.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤษ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ,น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/520 | 2004-09-28 22:22 | ฮูส่งสัญญาณหวัดนกไทยติดคนสู่คน | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า องค์การอนามัยโลกหรือฮูไม่สามารถยืนยันได้ว่า เชื้อไข้หวัดนกที่จังหวัดกำแพงเพชร มีการกลายพันธุ์และสามารถชี้ชัดได้ว่ามีการติดต่อจากคนสู่คน หรือไม่ ทั้งนี้สิ่งที่ทางองค์การอนามัยโลกวิตกกังวลมากที่สุดในคือจะมีการติดต่อเชื้อจากคนสู่คน
ทั้งนี้เชี้อที่ตรวจพบในครั้งนี้เมื่อนำไปเทียบกับเชื้อที่พบเมื่อต้นปี พบว่าเป็นตัวเดียวกัน ซึ่งแสดงว่าเชื้อโรคยังไม่ตาย และทางองค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรค รวมทั้งฝ่ายวิชาการของไทย ยังมีความเห็นร่วมกันเชื้อโรคดังกล่าวยังไม่ถือเป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุข และไม่ข้อวิตกกังวลขององค์กรนานาชาติ นอกจากนี้ในส่วนของประเทศไทยจะมีการเฝ้าระวังและติดตามในทุกพื้นที่ทั่วประเทศแบบ 100 % เพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันให้เข้มงวดมากขึ้น
วันนี้ กระทรวงสาธารณสุขออกเอกสารเผยแพร่ข้อมูล โดยระบุว่า ทางการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกเป็นรายที่ 3 โดยเป็นพี่สาวของมารดาของเด็กหญิงวัย 11ปี ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ที่ จ.กำแพงเพชร โดยรายที่ 2 เป็นแม่ของเด็กคนเดียวกันซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีนายดิ๊ก ทอมป์สัน โฆษกองค์การอนามัยโลก แถลงในวันเดียวกันว่า มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกจากคนสู่คนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จากการเสียชีวิตของนางปราณี กรองแก้ว วัย 26 ปี ที่คอยดูแลลูกสาววัย 11 ปี ที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดนก แม้ว่าจะทำให้องค์การอนามัยโลกรู้สึกกังวล แต่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาในเรื่องนี้ได้
นายทอมป์สันระบุว่า ผู้เป็นแม่เองก็อาจจะติดเชื้อไข้หวัดนกมาจากแหล่งเดียวกับลูกสาวได้ และทางองค์การอนามัยโลกต้องการที่ทราบข้อมูลให้มากกว่านี้ ภายใน 2 - 3 วันนี้
อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น ทั้งปศุสัตว์จังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อหารือและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกต่อไป
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/524 | 2004-09-28 22:38 | รายงานพิเศษ : การกลับมาของ "ไข้หวัดนก" | การกลับมาของ "ไข้หวัดนก" -รายงานพิเศษ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่า ข่าวโรคไข้หวัดนกนั้นถูกกระแสข่าวอื่นกลบทำให้เหมือนว่าโรคไข้หวัดนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์ไข้หวัดยังคงไม่ดีนัก โดยกระทรวงสาธารณสุขยืนยันมาแล้วว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยหลายรายที่เสียชีวิตด้วยไข้หวัดนก ซึ่งได้มีคำถามตามมาว่า "ไข้หวัดนก" นั้นกลับมาได้อย่างไร มาตรการในการป้องกัน การเฝ้าระวัง และควบคุมโรคนั้นดีพอหรือยัง? มีเกณฑ์อะไรที่จะวินิจฉัยว่าเชื้อนี้มีการติดต่อจากคนสู่คน และควรจะทำอย่างไรต่อไปในขณะที่ฤดูกาลกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูที่สร้างโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อของโรคนี้ค่อนข้างสูง
ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาสุขภาพภาคใต้(วพส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา เปิดเผยถึงประเด็นต่าง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดนก ซึ่งทาง ศ.นพ.วีระศักดิ์ ได้ให้คำตอบ ดังนี้
ทำไม "ไข้หวัดนก" จึงกลับมาอีก
ศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า "เชื้อไวรัสตัวนี้กลับมาได้อย่างไรนั้น เหตุผลที่จะนำมาอธิบายนั้น มีอยู่ 2-3 ประการ ก็คือ ประการแรกเชื้ออยู่ในสัตว์ป่าโดยเฉพาะ นกป่า ส่วนนี้มีหลักฐานที่ค่อนข้างแน่นอนเพราะมีการดักจับนกป่าในประเทศต่าง ๆ แล้วพบเชื้อเป็นระยะ ๆ ประการที่สอง เชื้อแฝงอยู่ในสัตว์เลี้ยงโดยไม่มีอาการ เช่น ไก่บ้าน, เป็ดในท้องทุ่ง ส่วนนี้ต้องค้นจากรายงานการเฝ้าระวังของกรมปศุสัตว์และรายงานการวิจัยในต่างประเทศ ประการที่สาม สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม กับการดำรงอยู่และการแพร่พันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ ความชื้น และระดับภูมิคุ้มกันและความหนาแน่นของสัตว์ที่เชื้อไวรัสสามารถเข้าไปเจริญพันธุ์ ซึ่งในฤดูฝนปัจจัยเหล่านี้อาจจะเอื้ออำนวยมาก เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ในสองประการข้างต้นจะสามารถเพิ่มจำนวนได้มาก"
สถานการณ์โรคในปัจจุบัน "จากสัตว์สู่คน"
ปรกติเชื้อไข้หวัดนกในคนจะได้รับมาจากสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ ถ้าคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับสัตว์ปีก ความเสี่ยงก็จะต่ำ ผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อมากที่สุดคือ คนงานในฟาร์มและรองลงมานั้นก็คือผู้ที่สัตว์ปีกเลี้ยงไว้ภายในบริเวณบ้าน ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็จะมีรายงานเกี่ยวกับการตายของผู้ที่ได้รับเชื้อไข้หวัดนกจากการที่ได้ใกล้ชิดและสัมผัสสัตว์ที่มีเชื้อ และยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการติดต่อของเชื้อไข้หวัดนกจากคนสู่คน อาการไข้หวัดนก ก็คล้ายๆกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่จะมีอาการรุนแรงกว่า มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศรีษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อทั้งตัว อ่อนเพลียมาก ไอมาก จนเจ็บหน้าอก เจ็บคอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจลำบาก อาจมีอาการของระบบทางเดินอาหารแทรก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม
ข้อกังวล การกลายพันธุ์ "จากคนสู่คน"
"ถ้าเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ความเสี่ยงการติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และน่าจะรุนแรงกว่าโรคซารส์เสียอีก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่แพร่ได้ทางอากาศ เช่น ปลิวไปตามลมได้ระยะไกล ๆ และติดต่อได้ง่าย เปรียบกับโรคซารส์ซึ่งติดต่อกันทางละอองจากการจามไอและสารคัดหลั่งขับถ่าย
เกณฑ์ที่จะตัดสินว่าติดจากคนสู่คนหรือไม่นั้น ต้องใช้หลักฐานทางไวรัสวิทยาและหลักฐานทางระบาดวิทยา ซึ่งทางไวรัสวิทยาต้องพบว่าเชื้อไวรัสในผู้ป่วยสองรายต้องมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เหมือนกันทุกประการ และ ต้องมีจุดทางพันธุกรรมที่เป็นไวรัสของคนผสมอยู่ ส่วนในทางระบาดวิทยาต้องมีหลักฐานว่าไม่ได้รับเชื้อจากแหล่งอื่นจริง ๆ เช่น ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับไก่ ไม่ได้รับประทานผลผลิตของไก่ที่อาจจะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย และน่าจะรับเชื้อจากผู้ป่วยไข้หวัดนกคนแรกเท่านั้น
แม้ว่าจะครบหมดทั้งสองเกณฑ์ก็ยังไม่ได้หมายความว่าอันตรายมาก ถ้าไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาเพิ่มเติมว่ามีการแพร่ระบาดที่น่ากลัว เช่น มีผู้รับเชื้อไปจากผู้ป่วยแล้วเกิดโรคเพียงจำนวนน้อย ( attack rate ต่ำ ) ก็ไม่น่ากลัวเป็นต้น ในทางปฏิบัติแล้ว ตรรกะและหลักฐานทางระบาดวิทยาเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะในหลายกรณีการตรวจทางไวรัสวิทยาทำได้ช้า และมีผลบวกหรือผลลบปลอมได้" ศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าว
วัคซีน : ตัวเร่งไวรัสกลายพันธุ์ "คนสู่คน"
จากที่ทางการห้ามไม่ให้ใช้วัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อนั้น ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชี้แจงประเด็นนี้ ว่า "อันดับแรกก็คือเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นเพราะกลัวต่างประเทศไม่รับซื้อไก่ไทย หรือ มีเหตุผลเชิงสุขภาพซึ่งค่อนข้างซับซ้อน"
ต่างประเทศไม่รับซื้อเพราะเป็นมาตรฐานสากลที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและองค์การโรคระบาดสัตว์กำหนดไว้ เหตุที่องค์กรทั้งสองกำหนดไว้ก็เพราะกลัวว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดนกจะไปเร่งการกลายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดนกที่มีอยู่ ความกลัวนี้มีทั้งแนวคิดและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แนวคิดก็คือ เชื้อไวรัสไข้หวัด และ ไข้หวัดใหญ่มีจุดทางพันธุกรรมที่ทำให้กลายพันธุ์ได้ง่ายอยู่หลายจุดทำให้กลายพันธุ์ได้เร็ว ต่างจากเชื้อไวรัสบางชนิดซึ่งกลายพันธุ์ได้ช้า เช่น โรคหัด การกลายพันธุ์เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตในปรับตัวให้สิ่งมีชีวิตประเภทนั้นสามารถสืบต่อเชื้อสายให้ดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป นักไวรัสวิทยาสามารถวัดอัตราการกลายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดนกได้ และทดลองแล้วว่าในฟาร์มที่มีการใช้วัคซีน เชื้อไข้หวัดนกที่พบจะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่เร็วกว่าฟาร์มที่ไม่ใช้วัคซีน ทั้งนี้เป็นปฏิกริยาตอบสนองของเชื้อทำให้ซึ่งหาทางเร่งคัดเลือกพันธุ์ให้ดำรงอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์ที่มีวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงไม่ใช่การได้เชื้อที่ดื้อต่อวัคซีนอย่างเดียว แต่การกลายพันธุ์ที่เร็วขึ้นทำให้มีความน่าจะเป็นที่จะได้เชื้อชนิดใหม่ที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ ด้วย คุณสมบัติที่มนุษย์ไม่ต้องการมากก็คือความสามารถของเชื้อที่จะ ติดต่อจากมนุษย์ไปยังมนุษย์ เพราะจะทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่และมีคนตายจำนวนมากมายมหาศาล ดังนั้นจึงควรห้ามการใช้วัคซีนนี้โดยเด็ดขาด มียกเว้นเฉพาะการใช้ในวงจำกัดซึ่งรัฐหรือนักวิทยาศาสตร์ควบคุมได้ การใช้ในไก่บ้านก็น่าจะอยู่ในข่ายที่รัฐคงจะไม่สามารถไปควบคุมได้จึงไม่แนะนำให้ใช้"
ศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อหลีกให้ห่างจากการติดเชื้อไข้หวัดนก ประชาชน ควรติดตามการระบาดของโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอย่างใกล้ชิด (ในครั้งนี้ทางการคงเข็ด ไม่กล้าปิดบังความจริงอีกแล้ว เพราะการปิดบังมีผลเสียต่อการควบคุมโรค) ในช่วงการระบาดระยะนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกจำนวนมาก ๆ โดยเฉพาะสัตว์ที่ป่วยหรือตาย อย่าใช้วัคซีนไข้หวัดนก อย่าสนับสนุนกลุ่มรณรงค์ให้นำเข้าวัคซีนไข้หวัดนก เมื่อมีผู้ป่วยอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง ไอ(อาจจะไม่ไอมาก) หายใจลำบาก ควรแนะนำให้ไปโรงพยาบาลด่วน ไม่ว่าจะใกล้ชิดกับสัตว์ปีกหรือไม่ก็ตาม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/526 | 2004-09-28 22:48 | กก.สิทธิฯ เร่งรัฐค้านสิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอ | ประชาไท - 28 ก.ย.47 กรรมการสิทธิฯ-นักกฏหมาย-ไบโอไทย เห็นพ้อง 3 สิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอกระทบไทย ย้ำรัฐบาลรีบค้าน บริษัทมูลนิธิวิจัยคอร์แนล ก่อนซ้ำรอยกรณีข้าวจัสมาติก
นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ จากโครงการยุทธศาสตร์นโยบายฐานทรัพยากรกล่าวในงานสัมมนาเรื่องสิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอว่า การยับยั้งการจดสิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอ ที่ดร.เดนนิส กอนซาเวส กำลังยื่นคำขอทั้งในสหรัฐอเมริกาและภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty, PCT) เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับกรณีข้าวจัสมาติกที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินกว่าจะดำเนินการได้
ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล นักวิชาการด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเจ้าพระยา กล่าวว่า สหรัฐอเมริกากำลังผลักดันเรื่องสิทธิบัตร โดยผ่านข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ซึ่งน่าจะต้องกำหนดให้ไทยเข้าเป็นภาคีภายใต้สนธิสัญญา PCT
ผศ.สมชาย อธิบายเพิ่มเติมว่า สนธิสัญญา PCT เป็นการลดขั้นตอนในการจดสิทธิบัตรในกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิก โดยจะมีหน่วยงานกลางในการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตร หากได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้ขอสามารถแปลคำขอไปยังประเทศสมาชิกต่างๆ ได้เลย แทนที่จะต้องทำเรื่องจดสิทธิบัตรทีละประเทศ อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศก็สามารถตรวจสอบ และพิจารณาได้อีกครั้งหนึ่ง
"ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ไทยมีกรมทรัพย์สินทางปัญญาทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่หน่วยงานนี้ถูกต่อว่าต่อขานว่า ไม่มีความสามารถในการตรวจสอบคำขอจดสิทธิบัตร ดังนั้น มันจึงมีความหมายกลายๆ ว่า เมื่อคุณตรวจไม่เป็น ก็ไม่ต้องตรวจ เดี๋ยวผมตรวจให้ แล้วรับตามนั้น" ผศ.สมชายกล่าว
ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในสิทธิบัตรที่ดร.เดนนิส กอนซาเวส แห่งบริษัทมูลนิธิวิจัยมหาวิทยาลัยคอร์แนล ยื่นคำขอนั้นจะปรากฏชื่อนักวิจัยไทยเป็นผู้ร่วมประดิษฐ์อยู่ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีความเป็นเจ้าของร่วมโดยทันที จะต้องกลับไปดูข้อตกลงถ่ายโอนวัสดุตั้งแต่ครั้งที่นักวิจัยไปทำมะละกอจีเอ็มโอที่ม.คอร์แนล ว่าได้กำหนดสิทธิต่างๆ ไว้อย่างไร
นอกจากนั้น ดร. เจษฎ์ ยังกล่าวว่า ในสิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอที่กำลังยื่นคำขออยู่นั้น มีขอบเขตครอบคลุมทั้งวิธีการทำจีเอ็มโอและผลผลิตที่เป็นจีเอ็มโอ ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิบัตรได้เลย
"การยื่นคำขอผ่าน PCT แล้วระบุประเทศสมาชิก 40-50 ประเทศ สิทธิผูกขาดจะไปปรากฏอยู่ในประเทศเหล่านั้นทั้งหมด เจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิ์ทั้งการขาย-นำเข้า ถ้าไทยส่งไปขายยังประเทศที่เขาขอจด ก็จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิได้" ดร.เจษฎ์กล่าว
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากองค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไทย) กล่าวว่า ไม่ว่าไทยจะเดินหน้าเรื่องจีเอ็มโอหรือไม่ก็ต้องต่อสู้เรื่องสิทธิบัตร เพราะทั้งไวรัส และพันธุ์มะละกอต่างๆ เป็นทรัพยากรของไทยที่ต้องปกป้องไว้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าเม็กซิโกและโบลิเวีย เคยถูกสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพื้นเมือง จนทำให้ไม่สามารถส่งพืชพันธุ์เหล่านั้นเข้าสู่สหรัฐฯ ได้
นอกจากนั้นนายวิฑูรย์ยังมีความเห็นว่าประเทศไทยควรมีจุดยืนในการปฏิเสธการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันกฎหมายไทยจะยังไม่ยอมรับ แต่ในอนาคตสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มจะผลักดันให้ไทยยอมรับผ่านการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)
ส่วนแนวทางในการผลักดันให้รัฐบาลยับยั้งสิทธิบัตรดังกล่าวนั้น นายบัณฑูรกล่าวว่า อาจดำเนินการผ่านคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องสิทธิบัตรที่รมว.เกษตรฯ เพิ่งตั้งขึ้น พร้อมทั้งอาจนำเรื่องนี้เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาในวันพรุ่งนี้(29 ก.ย.)
มุทิตา เชื้อชั่ง, ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/521 | 2004-09-28 22:27 | กำแพงเพชรเฝ้าระวังเพิ่มอีก4 ราย | กรุงเทพฯ -28 ก.ย. 47 น.พ.กำชัย รังสิมันต์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกำแพงเพชร เปิดเผยว่า อาการของนางปรานอม ทองจันทร์ ซึ่งติดเชื้อไข้หวัดนกจากการสัมผัสจากไก่ที่ตาย ยังทรงตัวและบางครั้งก็มีอาการดีขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้จากประวัติของการติดเชื้อไข้หวัดนกนั้น ทราบว่า นางปรานอมได้สัมผัสกับไก่โดยเป็นคนเก็บซากไก่ที่ตายเพื่อนำไปฝัง จนกระทั้งเกิดล้มป่วยดังกล่าว ขณะนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพเด็กและโรคทรวงอก ได้เดินทางมาดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตามจากกระแสข่าวการแพร่ระบาดไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นในเขต อำเภอขาณุวรลักษบุรี ทำให้ประชาชนที่มีอาการป่วยเป็นไข้ต่างเดินทางมาทำการตรวจที่โรงพยาบาลกำแพงเพชรเป็นจำนวนหลายราย
ทั้งนี้มีผู้ป่วยที่แพทย์ขอตัวไว้ตรวจและซักประวัติเพื่อเฝ้าระวังจำนวน 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 รายนี้ เป็นเด็กหญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 11 ปี และได้ส่งผลเลือดพร้อมสารคัดหลั่งใต้โพรงจมูกไปทำการตรวจแล้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/522 | 2004-09-28 22:28 | ที่ปรึกษาฮูเสนอวิธีป้องกันติดหวัดนก | กรุงเทพฯ -28 ก.ย.47 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ น.พ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษาด้านไวรัสวิทยา องค์การอนามัยโลก และประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาเรื่องไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า กรณีผู้ป่วยได้รับเชื้อไข้หวัดนกจากผู้ป่วยไข้หวัดนก ซึ่งมีการสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นกับครอบครัวใน อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชรนั้น เคยเกิดขึ้นที่ประเทศฮ่องกงเมื่อปีที่ผ่านมา โดยพบว่า มีคนไข้ที่ได้รับเชื้อไข้หวัดนกจากผู้ป่วยไข้หวัดนก ประมาณ 2-3 ราย
"แต่ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก เพราะต้องได้รับเชื้อในปริมาณที่มาก และคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย ไอ จาม รดกันเป็นปริมาณมากและเป็นเวลานาน"
ดังนั้นสิ่งที่ต้องระมัดระวังตอนนี้ คืออย่าใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดนก ไม่ใช่ระวังแค่การสัมผัสไก่อย่างเดียว ที่สำคัญคือแพทย์ พยาบาล จะต้องป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด
ที่ปรึกษาฮู กล่าวว่า การดูว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกจะกลายพันธุ์หรือไม่นั้น สังเกตจากการเรียงตัวของกรดอะมิโนของไวรัส หากมีการเรียงตัวผิดปกติ หรือเปลี่ยนไป โดยสารพันธุกรรมในคนหรือหมู หรือสัตว์อื่น ๆ เข้ามาเรียงตัวอยู่ด้วยจะถือว่ากลายพันธุ์ และเป็นเรื่องที่อันตราย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/523 | 2004-09-28 22:30 | ขอนแก่นประกาศพื้นที่หวัดนกระบาด | ขอนแก่น-28 ก.ย.47 นายเจตน์ ธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวภายหลังการประชุมด่วนภายในจังหวัดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในพื้นที่ ว่า ได้ประกาศให้ อ.ภูผาม่าน เป็นเขตควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และได้ออกคำสั่งทำลายไก่ทั้งอำเภอไปแล้วในวันนี้
ทั้งนี้จังหวัดขอนแก่นออกประกาศหลังจากได้รับคำยืนยันจากห้องแล็ปของกรมปศุสัตว์ว่า ไก่ที่ตายในพื้นที่ อ.ภูผาม่าน และถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ตายด้วยไข้หวัดนก
นายเจตน์กล่าวว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ใหม่ที่ไม่เคยแพร่ระบาดมาก่อน และเล้าไก่ที่มีการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ที่อยู่ในหุบเขา การคมนาคมไม่ค่อยสะดวก ทั้งยังห่างไกลจากบ้านเรือนของประชาชน
ก่อนหน้านี้จังหวัด ได้รับรายงานจากปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่นว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ย.นี้ ที่ อ.ภูผาม่าน ไก่ของเกษตรกร บ.วังกกแก้ว ม.9 ต.วังสะวาบ อ.ภูผาม่าน จำนวน 3 ราย จำนวน 13 ตัว ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทางปศุสัตว์อำเภอภูผาม่านได้เข้าไปตรวจสอบตามหลักวิชา พร้อมทั้งสั่งทำลายไก่ที่เหลือทั้งหมดอีก 53 ตัว
น.สพ.นพดล วรธงชัย สัตวแพทย์ 8 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่น ให้ความเห็นว่า การติดเชื้อไข้หวัดนกอาจเกิดจากนกที่บินมากินข้าวเปลือกในบ้านของเกษตรกรที่ไก่ติดเชื้อก็เป็นไป แต่ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง สามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้แล้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/525 | 2004-09-28 22:40 | มาเลย์เตือนอยู่ห่างเกาะสแปรตลี่ย์ | กัวลาลัมเปอร์-28 ก.ย.47 รัฐบาลมาเลเซียเตือนนักท่องเที่ยวไม่ให้เดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ซึ่งเป็นดินแดนพิพาท หลังจากมีทหารเรือ 5 นายล้มป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดนก
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียกล่าวว่า ทหารเรือเหล่านี้ล้มป่วยหลังจากเดินทางไปยังเกาะลายัง-ลายัง ทั้งนี้ปรากฏว่า นกกระจอกที่เกาะดังกล่าว ล้มตายเป็นจำนวนมาก
นายไซนัล อาบิดิน ซิน รัฐมนตรีของมาเลเซียกล่าวว่า จะเป็นการดีที่นักท่องเที่ยวและนักดำน้ำอยู่ห่างๆ จากเกาะดังกล่าว สักระยะหนึ่ง จนกว่ากระทรวงสาธารณสุขและกรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าจะ ยืนยันว่าทหารเรือทั้ง 5 นาย ล้มป่วยด้วยโรคไข้หวัดนกหรือไม่
นายไซนัลยังเรียกร้องให้บริษัททัวร์ นำนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวที่เกาะอื่นๆ นอกเกาะบอร์เนียวแทน เพราะเกรงว่า นกที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสไข้หวัดนก จะไปรวมตัวกันที่หมู่เกาะสแปรตลี่ย์ ซึ่งหลายประเทศรวมทั้งจีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน และไต้หวันต่างอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครอง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/529 | 2004-09-28 23:10 | ทักษิณชี้เป้า "อุซตาส" ต้นตอไฟใต้ | กรุงเทพฯ-28 ก.ย.47 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะเดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อไปดูงาน และเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงประทับแปรพระราชฐาน ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศ
เมื่อถูกถามว่า ดูเหมือนว่า ยิ่งรัฐปราบผู้ก่อความไม่สงบยิ่งผุดเพิ่มมากขึ้นความรุนแรงมากขึ้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า เพราะความจริงวันนี้เปิดเผยหมดแล้วว่ามีครูสอนศาสนาบางคน ไปเอาเด็กดีที่เรียนหนังสือ มาล้างสมอง และให้อุดมการณ์ในการแยกดินแดน
"อย่างเช่น เด็กที่อยู่ในทีมลอบยิงผู้พิพากษาก็สารภาพชัดเจนว่าจะต้องฆ่าคนกี่คน แล้วจะได้อาวุธมาใช้ ซึ่งมันเป็นวิธีการที่แย่มาก ฉะนั้นต้องประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่สังเกตลูก เพราะบางทีไม่รู้ว่าลูกถูกครูที่ใช้ไม่ได้ ทำอะไรไม่ดีที่สำคัญจะต้องมีการเข้าไปจัดระบบโรงเรียนปอเนาะทั้งระบบแน่นอน แต่คนดีไม่ต้องตกใจ"
อย่างไรก็ตามข้อเสนอของผู้นำศาสนาที่สะท้อนปัญหามาเนื่องจากหน่วยงานที่ลงไปยังไม่เข้าถึงชาวบ้านอย่างแท้จริงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่า
"มันไม่ง่ายทีเดียวเพราะบางจุดมีคนไม่ดีหลายคนแฝง อยู่กับคนดีแล้วไปปลุกปั่น บางทีเราแยกไม่ออก บางทีเจ้าหน้าที่ระมัดระวังเพราะต้องเคารพกฎหมาย เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรโวยวายกันมา เจ้าหน้าที่ก็กลัวว่ามีความผิดเลยไม่กล้า เราต้องให้กำลังใจ"
ขณะที่นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีเอเอฟพีรายงานว่า สหรัฐอเมริกาเป็นห่วงว่าขบวนการก่อการร้ายในแถบเอเชียรวมถึงไทยจะขยายไปสู่ระดับสากลว่า เป็นความกังวลของสหรัฐฯ แต่ก็ต้องยืนยันว่า ปัญหาของเรายังเป็นปัญหาภายในประเทศ และยังเป็นปัญหาในระดับเดิมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
ในวันที่ 8 ต.ค.นี้เวลา 16.00 น. ก็จะมีการจัดแข่งขันฟุตบอล ระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับ คณะกรรมการกลางอิสลาม และทูตมุสลิม ซึ่งเราได้พยายามประสาน และรักษามิตรภาพให้เกิดความเข้าใจกันตลอดเวลา เราคิดว่าได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว ในทุกด้านที่จะทำได้
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/527 | 2004-09-28 23:01 | สัมภาษณ์พิเศษ- ดร.ธนิต ชังถาวร | สัมภาษณ์พิเศษ- ดร.ธนิต ชังถาวร
นักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)
สัมภาษณ์ 15 กันยายน 2547
"พอทุกคนคุยภาพรวมก็กลัวกันไปใหญ่ว่าสิทธิบัตรเลว มันไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น อันที่จริงก็แทบไม่ต่างอะไรกับโฉนดที่ดิน"
ประชาไท - ช่วยอธิบายตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่า สิทธิบัตรคืออะไร
ธนิต - สิทธิบัตรเป็นเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ ซึ่งในประเทศไทยจะออกโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ส่วนที่อเมริกาจะเป็นหน่วยงานที่ชื่อ USPTO หรือ United State Partent and Trademark Office มีลักษณะคล้ายๆ โฉนด ที่บอกว่าคุณได้สิทธิครอบครองในเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ซึ่งมันก็จะเป็นเอกสารที่ประกอบด้วยแผ่นปะหน้าและเอกสารที่บรรยายว่าสิ่งที่คุณได้คืออะไร
ปัญญาที่เจอกันเยอะเวลาคนอ่านสิทธิบัตรแล้วเข้าใจผิดก็คือ อันแรกคิดว่าสิทธิบัตรที่อเมริกาจะบังคับใช้ได้ในเมืองไทย สิทธิบัตรที่อเมริกาก็บังคับใช้ได้ที่อเมริกา ถ้าเราไม่ทำอะไรหรือส่งของอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรไปที่อเมริกาก็ไม่เป็นไร เพราะศาลไทยไม่รับเอาสิทธิบัตรที่อเมริกามาฟ้องแน่ ต้องทำความเข้าใจกันอย่างยิ่ง คนจะเข้าใจผิด มันไม่มีที่จดสิทธิบัตรแล้วจะครอบคลุมทั่วโลก
ส่วนที่เป็นห่วงเพราะมีการจดที่ WIPO หรือ World Intellectual Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานของ UN นั้น คนที่พูดก็ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น เพราะ WIPO ไม่มีระบบการรับจด มันจะมีระบบเรื่อง PCT เล็กน้อย แต่เรื่องนั้นจะยาวว่าคุณจะจดประเทศไหนต้องมีการตรวจสอบแต่ละประเทศ ตั้งแต่ผมเรียนปริญญาเอกมาไม่เคยได้ยิน แต่คนที่เขาไม่ได้เรียนเขาอาจจะเก่งกว่าผม ถ้ามี World Partent ก็รวยกันแล้วซิ
จะมีอย่างเก่งก็คือว่า ระบบที่จดแล้วคล้ายกันก็คือระบบยุโรป European Partent Office ที่เราเรียก EPO คือถ้าเราไปจดที่นี่ ก็อาจจะได้ครอบคลุมประเทศสมาชิกยุโรป แต่ก็ไม่ใช่จะได้โดยอัตโนมัติ ในคำขอของคุณต้องระบุอีกว่าจะเอาประเทศไหน แล้วจะส่งไปให้แต่ละประเทศตรวจสอบดูอีกทีหนึ่ง
ประชาไท - แล้วอนุสัญญา PCT คืออะไร
ธนิต - PCT ย่อมาจาก Partent Cooperation Treaty ของ WIPO พยายามจะดึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อลดขั้นตอนในการตรวจสอบ ประเทศที่เป็นสมาชิก PCT เวลาคุณส่งไปประเทศไหนเขาจะทดสอบตรวจสอบคุณสมบัติเรื่องความใหม่ แล้วผลการตรวจสอบอาจจะใช้ได้ในกลุ่มประเทศสมาชิก PCT แทนที่จะต้องตรวจสอบกันใหม่ เป็นการลดขั้นตอน
สมมติว่ามี 100 กว่าประเทศ แล้วสมมติไทย ซึ่งตอนนี้ยังไม่เป็นแต่กำลังจะเป็นใกล้ๆ นี้ แต่ถ้าสมมติว่าเป็นแล้วแล้วคนไทยจะยื่นจดก็ยื่นจดไปแล้วต้องระบุในนั้นว่าจะเอากี่ประเทศในสมาชิก PCT ไม่ใช่จดแล้วคลุมหมดเกลี้ยงเลย บางทีคนที่พูดก็ไม่รู้เรื่อง แล้วหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะผ่านการตรวจสอบของประเทศที่เราระบุอีกหรือไม่ มันไม่ง่าย
การตรวจสอบโดยหลักๆ แล้วก็จะตรวจสอบความใหม่ ขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น รวมทั้งการประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม แต่ระบบอเมริกาอาจจะตรวจสอบง่ายหน่อย แต่ที่ยุโรปการจะผ่านการตรวจสอบนั้นยากมาก กว่าสิทธิบัตรจะหลุดออกมาได้ ถามกรมทรัพย์สินทางปัญญาเมืองไทยดูว่าบางฉบับกว่าจะได้ 3 ปี มันจึงเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องสิทธิบัตรโลก
ประชาไท - กรณีที่กำลังมีการยื่นจดสิทธิบัตรไวรัสใบด่างวงแหวนซึ่งมีสายพันธุ์ของไทยรวมอยู่ด้วย จะทำให้ครอบคลุมถึงมะละกอของไทยหรือไม่
ธนิต - เวลาได้สิทธิบัตรมาทุกคนชอบอ่านแล้วเข้าใจผิดกันคือ ชื่อ อ่านแล้วเข้าใจว่าเขาให้การคุ้มครองตัวนี้ทั้งหมด แต่ไม่ใช่ คนพูดเป็นคนที่ไม่เข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่นั่งอ่านกันวันสองวันแล้วจะเข้าใจ ผมใช้เวลาเรียน 6-7 ปี
เวลาอ่านสิทธิบัตรต้องดูข้อถือสิทธิว่าเขาขอถือสิทธิกว้างขนาดไหน ไม่ใช่ดูแค่ชื่อ เพราะชื่อเขาอาจจะตั้งหลวมๆ ไว้กว้างมาก เหมือนคุณบ้านอยู่ถนนสุขุมวิท ก็ตั้งชื่อว่าบ้านสุขุมวิทก็ย่อมได้ แต่จริงๆ ไปดูโฉนดจริงอาจจะเป็นงานเดียวในซอยสวัสดี เหมือนกันเลย คนชอบดูตรงนี้แล้วตีโพยตีพาย ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันว่าเขาช่วยยกประเด็นออกมาให้เห็น
สิทธิบัตรนี้เขาไม่ได้จดมะละกอ เขาเอาไวรัสไปจด ถ้ารู้วิทยาศาสตร์จะรู้ว่ามันคนละส่วน ซึ่งที่กังวลว่ามันจะกระทบต่อการศึกษาวิจัยของไทยก็ผิด เพราะสิทธิบัตรมันมีข้อยกเว้น ว่าถ้าเพื่อการศึกษาวิจัยกฎหมายอนุญาต อันนี้เป็นหลักสากลไม่ต้องเกี่ยวกับการเซ็น MOU หรือไม่ เพราะนี้เป็นหลักการของสิทธิบัตรเป็นร้อยๆ ปีมาอยู่แล้วเพื่อที่จะให้มันสมดุล ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดระบบการผูกขาดแล้วความก้าวหน้าทางวิชาการไม่ไปไหน มันมีรายละเอียดของมัน แต่พอทุกคนคุยภาพรวมก็กลัวกันใหญ่ว่าสิทธิบัตรเลว มันไม่น่ากลัวอะไรขนาดนั้น อันที่จริงก็แทบไม่ต่างอะไรกับโฉนดที่ดิน
คำถามอันหนึ่งที่จะต้องเช็คกับนักวิจัยเหมือนกัน ว่า โรคไวรัสจุดด่างวงแหวนมันไม่ได้เป็นที่มะละกอที่เมืองไทยที่เดียว แต่มันมีที่ฮาวายด้วย แล้วงานวิจัยที่คอร์แนล ดร.เดนิส กอนซาเวส เขาก็ทำที่ฮาวายมาเป็นชาติแล้ว เข้าใจว่าเป็นผลงานที่เขาทำที่ฮาวายที่นำไปจด
ประชาไท - แต่กรีนพีซให้ข้อมูลว่าโครงสร้างพื้นฐานของไวรัสเหมือนกัน อาจครอบคลุมไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ทั่วโลก
ธนิต - ก็ต้องดูว่าเขาจดที่ไหนนั่นประเด็นแรก อีกอย่างเขาอาจจะมีว่าให้ใช้สิทธิบัตรที่จดร่วมกันในกลุ่มนักวิจัยด้วยกัน ให้ฟรีๆ เลยก็ได้ มันก็มีข้อตกลงกันอยู่แล้วใน MOU หรือบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding)
ส่วนที่ว่ามันจะครอบคลุมต้นมะละกอลูกมะละกอนั้น จริงๆ แล้วถ้ากลุ่มนั้นแอนตี้เรื่องจีเอ็มโอ ไม่ต้องกลัวเลย เพราะถ้าเมืองไทยจะปลอดจีเอ็มโออย่างที่เขาว่า สิทธิบัตรอันนี้แทบจะไม่มีผลอะไรเลย เพราะเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเขาเลย เขาไม่ได้เอามะละกอไปจดแม้แต่นิดเดียว
ที่ผมมาพูดนี่ไม่ได้ผม Pro หรือ Against จีเอ็มโอ แต่อยากให้เห็นข้อเท็จจริงตรงนี้ ว่าสิทธิบัตรเป็นเอกสารราชการ แต่อาจมีคนที่ถือสิทธิบัตรเอาไปใช้ในทางที่ผิด แต่สิทธิบัตรเองมันโอเคอยู่แล้ว ไม่ต่างจากโฉนด
ประชาไท - ในสิทธิบัตรระบุไวรัสครอบคลุมของไทยด้วย จะทำให้ไทยจดเพิ่มไม่ได้หรือไม่
ธนิต - ก็ต้องไปดูว่าเขาจดสายพันธุ์อะไร อย่างไรก็ตาม ผมนิยม appoarch ที่ค่อนข้างจะ win-win ถ้าเกิดเราคิดว่าอันนี้มันมีส่วนที่เป็นของเราด้วย เราก็ไปขอถือสิทธิร่วม หรือถ้าเขาบอกถือสิทธิร่วมไม่ได้ เราก็บอกว่าถ้าคุณจะใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ คุณก็แบ่งปันผลประโยชน์กลับมาให้เรา อันนั้นคือ win-win situation แต่ถ้าอยู่ดีๆ ไปปฏิเสธเลยก็ไม่เกิดประโยชน์
ประชาไท - ถ้าจดสิทธิบัตรในสหรัฐแล้ว เวลาจะมาจดที่เมืองไทยสามารถทำได้เลยหรือไม่
ธนิต - มันจะต้องมีอย่างที่บอกไว้ คือ การตรวจสอบ และจะต้องมีส่วนที่เรียกว่า Great Period ผมจำไม่ได้ว่ากฎหมายอเมริกาเท่าไร แต่กฎหมายไทยบอกว่า ถ้าคุณจดที่อื่นแล้ว ภายใน 1 ปีไม่รีบมาจดในเมืองไทย คุณหมดสิทธิ์ โดยนับตั้งแต่วันที่ไปยื่น ไม่ใช่วันที่อนุมัติแล้วเผยแพร่ออกมา
พอมาถึงเมืองไทย เมืองไทยก็ต้องตรวจสอบอีก ถ้าเราไม่เห็นว่ามันมีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น เราปัดตกก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นการกีดกัน ในกฎหมายไทยมีอีกข้อด้วย ที่บอกว่าถ้าการประดิษฐ์อะไรขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมไม่ได้ ถ้าเราจะเล่นแง่เล่นอะไร เรามีวิธีเยอะ ไม่ใช่ว่าเขายื่นที่อเมริกาแล้วมายื่นเมืองไทยเราจะต้องอนุมัติอัตโนมัติ ไม่จำเป็น มันมีหลายที่กรณีที่ยื่นได้ที่อเมริกา แต่แล้วไปถูกปัดตกที่ยุโรป เพราะคนตรวจสอบมันเข้มต่างกัน
และอีกอย่างหนึ่ง ในกรณีที่จดอย่างข้อ 6 ในการขอสิทธิบัตรนี้ระบุว่า trangenic plants ถ้ามาจดเมืองไทยข้อนี้จะตกทันที เพราะเมืองไทยพืชจดสิทธิบัตรไม่ได้ มันละเอียดมาก
ประชาไท - ดังนั้น อาจจะมีการผลักดันให้มีการจดสิทธิบัตรในพืชด้วยก็ได้ใช่ไหม
ธนิต - อันนั้น มันเอฟทีเอ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาหยิบประเด็นมาถูกต้องหรือเปล่าว่า จะให้พืชจดสิทธิบัตร ว่าไปว่ามาโดยหลักการทั่วไปของการจดสิทธิบัตร เขาบอกว่าพืชที่ไม่ใช่พันธุ์พืชจดสิทธิบัตรได้ มีแต่ประเทศเราที่พืชจดสิทธิบัตรไม่ได้
ประชาไท - พืชที่ไม่ใช่พันธุ์พืชหมายความว่าอย่างไร
ธนิต - อันนี้มันซับซ้อนมาก กฎหมายสิทธิบัตรเขาบอกว่าพันธุ์พืชจดสิทธิบัตรไม่ได้ แต่กฎหมายไทยใช้คำว่าพืช ไม่ใช่พันธุ์พืช คนโดยทั่วไปคิดว่าทั้งสองอย่างนี้น่าจะเหมือนกัน แต่ในกฎหมายไม่ใช่ มันต้องไปดูนิยามว่าพันธุ์พืชแปลว่าอะไร ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งมันประกอบด้วย 3 ลักษณะด้วยกัน คือต้องมีลักษณะเด่น ความคงตัว ความเสถียร จำพวกนี้
ทีนี้มันมีพืชจีเอ็มโอบางชนิดที่มันมีลักษณะเป็นพืช แต่เผอิญมันไม่เสถียร คือมันไม่สามารถถ่ายทอดลักษณะเด่นในรุ่นต่อไปได้ เขาก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่พันธุ์พืช
คืออย่างนี้ พืชที่พูดถึงรวมทุกสิ่งที่อย่างที่อยู่ใน อาณาจักรพืช แล้วในนั้นจะมีซับเซ็ทคือ plant variety (กลุ่มของพืช -- ผู้สัมภาษณ์) ซึ่งเขาบอกว่าต้องมีลักษณะที่คล้ายๆ กันอยู่ในกลุ่มของมัน แต่ถ้าคุณสามารถทำพืชขึ้นมาที่มีลักษณะเด่นไม่เข้าหมู่กับชาวบ้านเลย มันก็คือว่าไม่เป็น plant variety ซึ่งตรงนี้สามารถจะจดสิทธิบัตรได้
ที่จริงมีประวัติศาสตร์มายาวนานว่าทำไมเขาจึงต้องห้ามตรงนี้ ก็เพราะมันมีกฎหมายพิเศษของมัน เมืองไทยก็คือกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช แต่ไทยห้ามหมดเลย แต่เผอิญเรามีกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช
แม้กระทั่งพืชจีเอ็มโอบางอย่างที่มันสามารถเป็น plant variety ได้ พอมันเป็น plant variety ที่เป็นจีเอ็มโอ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชเอง ก็มีข้อหนึ่งที่พูดไว้ว่า พืชจีเอ็มโอที่จะจดภายใต้พ.ร.บ.ฉบับนี้ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยทางชีวภาพ
ประชาไท - เป็นจีเอ็มโอแล้วยังไปอยู่ใน plant variety ได้หรือ
ธนิต - ก็แค่สมมติว่ามันได้ คือบางทีกฎหมายมันมีพื้นที่สีเทาที่มันเลี่ยงกันได้ แต่อย่างไรก็ต้องผ่านหลายด่าน ไม่ใช่จะมาจดกันง่ายๆ พอพูดถึงจีเอ็มโอกับสิทธิบัตรเมืองไทย ตัดไปได้เลย จดไม่ได้แน่นอน แต่จีเอ็มโอกับการคุ้มครองพันธุ์พืชก็อาจจะได้ แต่ต้องผ่านความปลอดภัยทางชีวภาพก่อน
เรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพมันมี guideline เป็น soft law อยู่ เข้าใจว่ากระทรวงทรัพฯ กำลังร่างอยู่ ซึ่งตรงนี้ก็ยังสับสนกันอยู่ อย่าง CBD (convention on biological diversity) เมืองไทยเป็น ประเทศสมาชิก CBD แล้ว ดูแลโดยกระทรวงทรัพยากรฯ และภายใต้ CBD มันมีส่วนที่เรียกว่า Biosafety Protocol ที่ตกลงกันที่คาร์ตาฮาน่า แล้วเรียก พิธีสารคาร์ตาฮาน่า ฉะนั้นก็เลยยังสับสนว่ามันจะอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวง ทรัพยากรฯ หรือไม่ เดี๋ยวขั้นต่อไปไทยก็คงต้องรับพิธีสารอันนี้ เรื่องนี้มันซับซ้อนต้องมองภาพเชิงบูรณาการให้ได้
แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ ดึงภาพมาภาพหนึ่งแล้วทำให้เป็นประเด็นใหญ่ บางทีมันก็ใหญ่เกินควร
ประชาไท - คิดอย่างไรที่สิทธิอยากให้เมืองไทยยื่นคัดค้านการขอสิทธิบัตรของคอร์แนล
ธนิต - ต้องถามว่าอยู่บนพื้นฐานของอะไร เดี๋ยวก็จะเหมือนกรณีข้าวทั้งหลายอีก บางทีไปคัดค้านไม่ศึกษาให้ดี เพราะ เขาไม่ได้เอามะละกอไปจด ผมว่าจริงๆ มีทางออกที่สวยกว่านี้เยอะ โดยการทำความร่วมมือแล้วตกลงใช้ประโยชน์ร่วมกันดีกว่า
ประชาไท - การแพร่กระจายที่พบตอนนี้ถือว่าเราผิดข้อตกลงหรือไม่
ธนิต - มันเป็นข้อตกลงระหว่างหน่วยงานและหน่วยงาน และเขียนว่าต้องใช้ reasonable control คือต้องคุ้มครองให้ดีไม่ให้มันหลุดออกไป แต่นี้มันอาจจะ beyond reasonable control เช่น ถ้าเกิดมีกลุ่มใดหรือปัจเจกชนแอบเข้าไปตอนกลางคืนเอาไป อย่างนี้มัน beyond แล้ว เขาจะมาทำอะไรเราไม่ได้ มันต้องดูภาพรวม
เอกสารมีหลายตัว แต่เผอิญเอกสารบางตัวผมไม่ได้เห็น อย่าง MOU ก็ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งตอนนี้ก็มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผย ก็ต้องขึ้นอยู่กับกรมวิชาการเกษตร จริงๆ เขาก็น่าจะโอเค เราเอาของเขามาใช้ประโยชน์มันไม่ใช่แค่นี้ มันมีเทคโนโลยีอื่นๆ อีกที่ได้มา เขาก็บอกถ้ายูเอาไปใช้เป็นฟาเมอร์ก็ใช้ไปฟรีไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ แต่ถ้ายูเอาไปให้บริษัท ไปออกใบอนุญาต ขายให้บริษัทต้องแบ่งผลประโยชน์กัน ขั้นแรกผมจำตัวเลขไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ผิดฝ่ายไทยได้ 90% ฝ่ายโน้นได้ 10% แต่ถ้ากรมวิชาการเกษตรจะเอาพืชจีเอ็มโอไปแจกเกษตรกรทั่วประเทศถ้ากฎหมายอนุมัติก็ไม่เกี่ยว
ประชาไท - มีการสงสัยกันว่าไทยยังไม่ได้เปิดให้ปลูกจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์ แต่ใน MOU มีการตกลงการไปถึงผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แล้ว
ธนิต - อันนั้นเป็นเงื่อนไขในอนาคต แต่ถ้าไม่ไม่เกิดขึ้นก็คือไม่เกิด มันสามารถทำได้ และในเอ็มโอยูไม่เคยบังคับว่าเราจะต้องไปใช้ในเชิงพาณิชย์ มันอยู่ที่การตัดสินใจของเรา ในส่วนที่เขาต้องกังวลคือบริษัทที่ส่งออกฟรุตคอกเทลทั้งหลายที่ต้องยุ่งยากในการตรวจสอบมากขึ้น แต่โดยตัวเกษตรกรเอง ด้วยข้อมูลเท่าที่รู้ ตอนนี้แค่บริโภคในประเทศก็ยังไม่พอ ฉะนั้นไม่ต้องเดือนร้อนอะไรเลย อีกอย่างหนึ่ง มันก็อีกนานกว่าจะทำเป็นการค้าได้ เพราะกฎระเบียบก็ยังไม่ให้อยู่ดี
ประชาไท - แสดงว่ากระทบต่อภาคการส่งออกชัดเจน
ธนิต - เรื่องส่งออก ที่เราคุยกันไว้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เราได้ฟรีเลยนะ ส่งออกได้เลย แต่ถ้าจะส่งออกไปที่อื่นเขาก็บอกว่าคุยกับเขาเสียหน่อยหนึ่ง แล้วตกลงแบ่งปันผลประโยชน์กันหน่อยหนึ่ง
สมมติมีบริษัทส่งออกผลไม้กระป๋องไทยต้องการจะส่งออกไปอเมริกา เขาก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามะละกอที่จะส่งไม่ใช่มะละกอพันธุ์นี้ ซึ่งก็เป็นภาระของเขาที่ต้องตรวจสอบ
ผมก็ใกล้ชิดนักวิจัยด้วย รู้ว่าเขาก็ใช้เวลานานกว่าจะได้เทคโนโลยีนี้ขึ้นมา แล้วอยู่ดีๆ จะเอาของเขามาใช้โดยไม่แบ่งปันผลประโยชน์ผมก็ว่ามันไม่แฟร์ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องแบ่งผลประโยชน์กันบนพื้นฐานความเป็นธรรม ซึ่งไปดูได้เลยในโลกนี้ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ได้ไม่เยอะได้น้อยมาก
ประชาไท - มีการเชื่อมโยงเรื่องสิทธิบัตรกับมอนซานโต้และไอซ่าด้วย
ธนิต - ยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งมันก็ไม่เกี่ยวกับผม เผอิญก็มีไอซ่าที่เคยให้ทุนหน่วยงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปฝึกเรื่องการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และผมเป็นคนแรกที่ได้ไปฝึก เขาก็อาจจะพูดโดยอ้อมๆ ว่าผมเกี่ยวกับมอนซานโต้ ไม่เกี่ยว ไม่รู้เรื่องเลย แต่ถามว่ารู้จักคนที่มอนซานโต้ที่นี่ไหม ก็รู้จักกันอยู่ เพราะอยู่ในแวดวงไบโอเทคเหมือนกัน
ผมไปฝึกที่นู่นแล้วได้ความรู้มา มาทำให้ความเข้มแข็งในการต่อรองกับบริษัทใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นเสียด้วย เมื่อก่อนเราก็เซ็นสัญญาต่างๆ ได้เลย เดี๋ยวนี้เรารู้จักต่อรองเอาอะไรให้เยอะกว่านั้น บางทีก็ไม่ได้ดูเนื้อในกันว่าทำอะไรบ้าง ตรงนั้นเป็นอันตราย
ประชาไท -สรุปสั้นๆ ว่าสิทธิบัตรทั้ง 3 ฉบับทั้งที่จดแล้วและกำลังยื่นขอ จะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเกษตรกรไทย
ธนิต - ไม่กระทบ โดยเฉพาะภายใต้ MOU และโดยเฉพาะเกษตรที่ทำมะละกอเพื่อบริโภคภายในประเทศยิ่งไม่กระทบเลย แต่ถ้าเป็นบริษัทอุตสาหกรรมส่งออกที่อาจจะส่งมะละกอไปอเมริกาที่ไม่ใช่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อาจจะมีแต่นิดเดียว หรืออาจไม่มีผลกระทบเลย ถ้ามะละกอนั้นไม่ใช่ตัวที่จดสิทธิบัตรแล้ว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/528 | 2004-09-28 23:04 | การเจรจาเรื่องสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต และจีเอ็มโอใน FTA ไทย-สหรัฐ | การเจรจาเรื่องสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต และจีเอ็มโอใน FTA ไทย-สหรัฐ*
(เอกสารประกอบการเสวนา เรื่อง "รู้ทัน GMO กับปัญหาทรัพย์สินทางปัญญา" จัดโดย โครงการยุทธศาสตร์นโยบายฐานทรัพยากร คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ)
ข้าวสีทอง (Golden Rice) ที่เกิดขึ้นจากการตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อเพิ่มวิตามินเอให้กับข้าวนั้น มีสิทธิบัตรเกี่ยวข้องอยู่กว่า 70 รายการ
ตัวอย่างรูปธรรมนี้แสดงให้เห็นว่าข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาในการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศไทย ให้มีการขยายการคุ้มครองกฎหมายสิทธิบัตรไปยังสิ่งมีชีวิตทุกชนิดคือ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ และให้ประเทศไทยเปิดรับสินค้าตัดแต่งพันธุกรรมนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน ซึ่งมีเขียนระบุไว้ทั้งในกฎหมายการค้าขอสหรัฐ ฯ (Trade Promotion Authority Act 2002) และในกรอบการเจรจาที่ผู้แทนการค้าของสหรัฐยื่นเสนอต่อรัฐสภาของสหรัฐ เพื่อขออนุมัติที่จะมาเจรจากับประเทศไทย
ตามกฎหมายสิทธิบัตร สิทธิของผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตร คือ สิทธิในการผลิต ใช้ ขาย มีไว้เพื่อขาย เสนอ ขายหรือนำเข้ามาในประเทศซึ่งผลิตภัณฑ์ตามสิทธิบัตร ดังนั้น บริษัทธุรกิจข้ามชาติที่ทำการคิดค้นพัฒนาพืชสัตว์ตัดแต่งพันธุกรรมจึงต้องการคุ้มครองผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองไว้โดยอาศัยสิทธิบัตรคุ้มครอง ตัวอย่างเช่น กรณีสิทธิบัตรการถ่ายยีน (Gene Transfer Patent) ผู้ถือครองสิทธิบัตรเป็นจำนวนถึงร้อยละ 95 ของสิทธิบัตรการถ่ายยีน คือบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ 5 อันดับแรกที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป (UNDP 1999)
แต่สำหรับประเทศไทย กฎหมายสิทธิบัตรของไทยให้การคุ้มครองเฉพาะจุลชีพที่มิได้พบอยู่ตามสภาพในธรรมชาติเท่านั้น ไม่ได้ให้การคุ้มครองสิทธิบัตรพืชและสัตว์ ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นสิทธิที่ไทยสามารถกระทำได้ภายใต้ความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญา หรือความตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลก ในการเจรจาทบทวนความตกลงทริปส์ในเรื่องนี้ ทางสหรัฐได้ผลักดันอย่างมากที่จะแก้ไขข้อกำหนดในความตกลงเพื่อให้ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกทุกประเทศให้การคุ้มครองสิทธิบัตรพืชและสัตว์ แต่ก็ถูกกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมตัวกันคัดค้านอย่างเต็มที่ ดังนั้น สหรัฐจึงต้องหันมาผลักดันการคุ้มครองสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตผ่านทางการเจรจาการค้าเสรีแบบทวิภาคี โดยกดดันให้ประเทศคู่เจรจายอมแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร พร้อมๆ กับการผลักดันให้ยอมรับเอาสินค้าจีเอ็มโอเข้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในแง่การระบายสินค้าที่ขายไม่ค่อยได้ในประเทศพัฒนาแล้วเนื่องจากผู้บริโภคไม่ยอมรับ และเพื่อคุ้มครองการผูกขาดการใช้ประโยชน์โดยอาศัยกฎหมายสิทธิบัตร
ทำไมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจึงร่วมกันคัดค้านกฎหมายสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต ผลกระทบต่อเกษตรกรจะเป็นอย่างไร ??
จุดกำเนิดของกฎหมายสิทธิบัตร คือ การคุ้มครองการประดิษฐ์ในสินค้าอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีการขยายการคุ้มครองแบบกึ่งผูกขาดนี้มายังพืชสัตว์ หรือพันธ์พืชพันธุ์สัตว์ จึงถูกคัดค้านจากประเทศสังคมที่มีฐานเกษตรกรรมทั้งหลาย เนื่องจากเป็นการไม่เหมาะสมที่จะเอาพืช สัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิต เป็นปัจจัยสำคัญของภาคเกษตรไปครอบครองเป็นเจ้าของแบบผูกขาดเช่นนั้น ซึ่งสร้างผลกระทบในหลากหลายมิติ เช่น เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต อาจเกิดปัญหาการผูกขาดปัจจัยการผลิต สร้างผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากภายใต้ระบบสิทธิบัตรพันธุ์พืช เกษตรกรไม่สามารถคัดเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ เพื่อปรับปรุงพันธุ์หรือปลูกในฤดูกาลถัดไปได้ ฯลฯ
ปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อต้นปีนี้ศาลสูงของประเทศแคนาดาได้ตัดสินให้นายชไมเซอร์ (Schmeiser) เกษตรกรวัย 71 ปี ผู้ปลูกพืชแคโนลา (พืชให้น้ำมัน) มีความผิดฐานละเมิดสิทธิบัตรของบริษัทมอนซานโต้ เนื่องจากมีการตรวจพบยีนของต้นแคโนลาที่ตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อต้านทานยากำจัดวัชพืช ที่เป็นของบริษัทในแปลงปลูกของนายชไมเซอร์ โดยนายชไมเซอร์ได้ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ปลูกพืชจีเอ็มโอ แต่ยีนที่ตรวจพบนั้นเนื่องมาจากการปนเปื้อนทางพันธุกรรมจากละออกเกสรของต้นแคโนลาจีเอ็มโอที่ลอยมาโดยกระแสลม ในกรณีนี้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินในปี 2543 ว่าเกษตรกรมีความผิด และให้จ่ายค่าปรับเป็นเงิน 175,000 เหรียญ ชไมเซอร์ได้ต่อสู้คดีมา 7 ปี จนถึงศาลสูง แต่ในที่สุดก็ถูกตัดสินว่ามีความผิด อย่างไรก็ตาม ศาลสูง
ได้พิพากษาไม่ต้องจ่ายค่าปรับ
ในกรณีประเทศสหรัฐ ทางบริษัทมอนซานโต้ ได้ทำการฟ้องคดีเกษตรกรที่ละเมิดข้อตกลงการอนุญาตใช้สิทธิ(license) ในการปลูกพืชจีเอ็มโอไปแล้วจำนวน 73 คดี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น กรณีการฟ้องร้องเกษตรกรวัย 47 ปีในรัฐเทนเนสซี ชื่อ เคม ราฟ (Kem Ralph) ถูกศาลสั่งจำคุกและปรับเป็นเงิน 165,649 เหรียญสหรัฐ ในความผิดที่ละเมิดข้อตกลงกับบริษัทโดยเก็บเมล็ดฝ้ายและถั่วเหลืองจีเอ็มโอไว้ปลูก
กรณีมะละกอตัดแต่งพันธุกรรมของไทยที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้ว่ามีการหลุดแพร่กระจายในสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น ในร่างความตกลงการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร ฯ กับมหาวิทยาคอร์แนล (แต่ยังไม่มีการเซ็น ) ถ้ามีการนำเอามะละกอไปขายได้ผลกำไร ทางคอร์แนลต้องการมีผลประโยชน์ร่วม อัตราที่มีการกล่าวถึงแต่ไม่ยืนยันเป็นทางการ คือ กำไร 1 ล้านบาทแรก แบ่งให้ทางคอร์แนล 10% , ถ้า 2.5 ล้านบาท แบ่งให้ 20% และถ้าถึง 5 ล้านบาท แบ่งให้ 30%
เรื่องจีเอ็มโอไม่ได้เป็นแค่เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว มีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกมาก เกษตรกรไทยจะต้องเผชิญปัญหาเหมือนกับเกษตรกรในแคนาดาหรือสหรัฐหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีกับสหรัฐ และให้ความรู้เท่าทันและความเข้มแข็งของภาคประชาชนไทย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/530 | 2004-09-28 23:13 | มุสลิมใต้หวั่นยูเอสทำสถานการณ์แย่ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-28 ก.ย.47 นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการสันติวิธี กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริการะบุกลุ่มก่อการร้ายในอาเซียนรวมทั้งในไทย จะยกระดับเป็นกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศว่า สหรัฐอเมริกาพยายามดึงสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นเรื่องนานาชาติ ทั้งที่ไทยปฏิเสธมาตลอดว่า เป็นปัญหาภายในประเทศ
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวว่า สาเหตุที่สหรัฐพยายามยกปัญหาชายแดนภาคใต้ให้เป็นเรื่องนานาชาติ เพราะต้องการเข้ามาแทรกแซงในพื้นที่นี้มาตั้งแต่ต้น จะเห็นได้จากที่เคยแสดงเจตจำนงว่า ถ้าไทยแก้ปัญหาไม่ได้ สหรัฐอเมริการพร้อมจะส่งกองกำลังเคลื่อนที่เร็วนอกน่านน้ำมาช่วย ภายในระยะเวลาครึ่งชั่วโมง ถ้าสหรัฐอเมริกาเข้ามาได้ ภาคใต้ของไทยคงจะไม่ต่างอะไรกับอิรัก
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวต่อไปว่า การที่สหรัฐอเมริกาพยายามยกปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นสู่ระดับสากล ลึกๆ แล้ว ตรงกับความต้องการของรัฐไทย จะเห็นได้จากกรณีมัสยิดกรือเซะ ที่คนของรัฐระบุว่า มีชาวอินโดนีเซียร่วมอยู่ด้วย ทั้งที่จริงทุกศพมีญาติมายืนยันทั้งนั้น
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาในพื้นที่ขณะนี้อยู่ตรงที่วิธีการ ที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเลือกใช้ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสันติวิธี ทั้งที่สันติวิธีเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
สถานการณ์ในพื้นที่ตอนนี้ คือ เจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับชาวบ้าน ถือเป็นเรื่องอันตราย ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์กลุ่มวัยรุ่นตามหมู่บ้านกลั่นแกล้งทหาร เพราะอึดอัดกับสภาพที่มีทหารเต็มไปหมด โดยเฉพาะทหารที่ออกมาตั้งด่านตรวจตามถนน มักมองชาวบ้านอย่างไม่เป็นมิตรในเวลาเวลาตรวจค้น โดยเฉพาะกับผู้ชาย แต่ชอบทำตาหวานกับหญิงสาวมุสลิม
นายวศิน สาเมาะ เครือข่ายชุมชนมุสลิมจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า การที่กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาออกมาระบุเช่นนี้ ทำให้ภาคประชาชนทำงานลำบากมากขึ้น ชาวบ้านจะยิ่งถูกมองในแง่ลบมากขึ้น ผู้บริสุทธิ์ก็จะพลอยถูกจับตามองไปด้วย
นายวิศิษฐ ตาเดอินทร์ รองนายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการเข้ามาควบคุมภูมิภาคแห่งนี้ โดยเฉพาะช่องแคบมะละกา จึงพยายามโยงสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นเรื่องระดับโลก ถ้าปล่อยให้สหรัฐอเมริกาเข้ามา ภาคใต้จะวุ่นวายมากขึ้นแน่นอน
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/531 | 2004-09-28 23:14 | ไกรศักดิ์หวั่นมะกันล่อเป้าการก่อการร้าย | "ยิ่งทางสหรัฐเมริกามีนโยบายในภูมิภาคนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์การก่อร้ายในภูมิภาคนี้เลวร้ายลงเท่านั้น" นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีที่นายวิลเลียม โป๊ป ผู้ช่วยผู้ประสานงานหลักด้านการต่อต้านการก่อการร้าย กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ระบุว่า แนวโน้มการก่อการร้ายในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยกระดับจากการก่อการร้ายระดับภายในประเทศ สู่การก่อการร้ายระดับสากล ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐในภูมิภาคนี้
นายไกรศักดิ์กล่าวต่อไปว่าภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาปัจจุบันนี้ ถ้าหากสหรัฐประกาศ
นโยบายต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อไหร่ การก่อร้ายในภูมิภาคนี้จะเพิ่มมากขึ้นทันที
สำหรับกรณีประเทศออสเตรเลียมีแนวโน้มว่าจะก่อตั้งหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายหลังจากสถานทูตออสเตรเลียในประเทศอินโดนีเซียนั้น นายไกรศักดิ์ ชุณหวัณ กล่าวว่าไทยควรจะยินดีให้ความร่วมมือในระดับของการให้ข้อมูล แต่ไม่ควรเข้าไปร่วมในการปฏิบัติการ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/532 | 2004-09-28 23:17 | กลุ่มค้านท่อก๊าซใต้เจอสารพัดคดี | ศูนย์ข่าวภาคใต้-28 ก.ย.47 เวลา 10.30 น. ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา น.ส. ส.รัตน มณี พลกล้า จากสภาทนายความแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซท่อส่งก๊าซไทย - มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ประมาณ 50 คน นำนายอาเร็ม อนันทบริพงษ์ อายุ 44 ปี นายวิทวัส มะเด อายุ 44 ปี และนายดลเลาะ หมินโซ๊ะ อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาคดีปะทะกับตำรวจที่หน้ามัสยิดตรงข้ามลานหอยเสียบตำบลสะกอม อำเภอจะนะ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2546 ที่ผ่านมา เข้ามอบตัวกับพ.ต.ท.ณัฐรวิ อุปวงษ์ รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอจะนะ ตามหมายจับเลขที่ 1729/2546, 1730/2546 และ 1732/2546 ลงวันที่ 14 พ.ย. 2546
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ถูกตั้ง 7 ข้อหา ประกอบด้วย 1. มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่า จะใช้กำลังทำร้ายร่างกาย หรือจะทำอันตราย ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง 2.ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำ หรือจำยอมสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือผู้อื่น หรือใช้กำลัง หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีอาวุธ
3. ข่มเหงหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย 4. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไปโดยไม่ยอมเลิก 5. ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยพนักงานตามกฎหมายให้ปฏิบัติตามหน้าที่ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีและใช้อาวุธ
6. ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ 7. พกพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือสถานที่สาธารณะโดยเปิดเผย
ต่อมาได้มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ 1 คน คือ นางนงนุข บุญยัง จากคณะพยาบาลศาสตร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช คือ นางชูใจ ช่วยชู และนายอุทัย แกล้วกล้า ใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมด
นางสาวส.รัตนมณี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านทั้ง 3 คนยังไม่ทราบว่า ตนถูกออกหมายจับในคดีดังกล่าว มาทราบก็ต่อเมื่อนายวิทวัสขอทำหนังสือเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ซาอุดีอาระเบีย แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถออกหนังสือเดินทางให้ได้ เนื่องจากมีหมายจับในคดีดังกล่าว
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/533 | 2004-09-28 23:20 | ปมขัดแย้งรัฐ-ชาวแม่ฮ่องสอนส่อเค้ารุนแรง | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-27 ก.ย. 47 เครือข่ายองค์กรชุมชนการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านในแต่ละหมู่บ้าน ทั้ง 7 อำเภอ รวมตัวกันเพื่อทำการศึกษาปัญหาและสถานการณ์ในพื้นที่ ชี้ความขัดแย้งในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรฯ ระหว่างรัฐกับชาวบ้านเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เสนอให้จัดยุทธศาสตร์ท้องถิ่นในการแก้ปัญหาร่วมกันให้สอดคล้องกับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ที่ศาลาประชาคมศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มชาวบ้านกว่า 1,000 คน ได้มีการแบ่งกลุ่มย่อยแต่ละอำเภอ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค และร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 เรื่อง คือ เรื่องไร่หมุนเวียน การจัดการป่า การจัดการที่ดิน การจัดการน้ำ และท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากรฯ เพื่อให้องค์กรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปแก้ไข ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาลุกลามไปทั่ว
ในรายงานแจ้งว่า จากการที่มีการประชุมเครือข่ายการจัดการทรัพยากรฯ ลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน พบว่า ทั้ง 7 อำเภอ ประสบปัญหาในเรื่องความขัดแย้งการแย่งชิงทรัพยากรฯ ระหว่างรัฐกับชาวบ้าน ดังนี้
ในพื้นที่เขตอำเภอปาย รายงานแจ้งว่า เกิดความขัดแย้งเมื่อหน่วยอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ได้นำขยะไปทิ้งบริเวณป่าต้นน้ำแม่ปิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งน้ำอุปโภคบริโภค ชาวบ้านบ้านแม่ปิง ม.4 บ้านห้วยแก้ว ม.6 และบ้านท่าปาย ม.3 ได้รับความเดือดร้อน ชาวบ้านเสนอให้ย้ายที่ทิ้งขยะ หรือสร้างเตาเผาใหม่ที่ไม่กระทบต่อต้นน้ำ หลังจากนั้น จะส่งเรื่องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ หากไม่ได้ผล ชาวบ้านจะใช้พลังมวลชนเข้าจัดการ
นอกจากนั้น ยังมีปัญหากรณี บริษัท ปิงปายทรายงาม จำกัด ได้ทำการขุดทรายในลำน้ำบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ทั้ง 3 หมู่บ้าน จนทำให้สะพานข้ามไปสู่หมู่บ้านทรุดพังจนใช้การไม่ได้ ชาวบ้านได้เสนอให้บริษัทหยุดขุดทราย และให้อุตสาหกรรมจังหวัดเพิกถอนใบอนุญาต และชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบอยากทราบคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คำตอบว่า การหยุดขุดทรายในปัจจุบันว่าจะหยุดถาวรหรือชั่วคราว
ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง เครือข่ายห้วยปูลิง รายงานว่า ขณะนี้ มีการเข้าไปสำรวจการสร้างเขื่อนพลังน้ำขนาดเล็ก โดยไม่ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ลอบเข้าไปถ่ายรูปที่ทำกินของชาวบ้านเพื่อทำคดีแห้ง กรณีนี้ ชาวบ้านได้เรียกร้องให้มีเวทีเครือข่ายที่ชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้าน และเสนอให้องค์กรท้องถิ่นนำปัญหาขึ้นไปสู่การปฏิบัติ
ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ลาน้อย มีปัญหาเรื่องโรงโม่หิน และเจ้าหน้าที่เข้าไปปักหลักที่ดินทำกินของชาวบ้าน พร้อมสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปทำกิน
ในเขตอ.แม่สะเรียง อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน รวมไปถึง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ได้รายงานว่า มีปัญหาเรื่องเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าจับกุมชาวบ้านที่ทำไร่หมุนเวียน มีการลอบเผาไร่ชาวบ้านเพื่อจะปลูกสวนป่าทับที่แทน ปัญหาไม้ตกค้างที่สาละวิน ชาวบ้านได้ห้ามมีการนำไม้ออกจากป่า ยกเว้นที่นำถวายในหลวง รวมทั้งประเด็นที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสาละวินแอบลักลอบตัดไม้ไปทำเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งชาวบ้านกับนายอำเภอได้ร่วมกันจับกุมแล้ว
ในส่วนของอ.ปางมะผ้า และ อ.ขุนยวม ก็เกิดปัญหาคล้ายๆ กัน คือเรื่องที่ดินทำกินไม่มีเอกสารสิทธิ์ ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์ป่า รวมไปถึงปัญหาการไม่มีสัญชาติ
ทั้งนี้องค์กรชุมชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะได้นำปัญหาต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงแผนยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรฯ ภาคประชาชน เสนอต่อนายสุพจน์ เลาวัลย์ศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน รับทราบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/534 | 2004-09-28 23:22 | แม่ฮ่องสอนหารือแผนฯจัดการทรัพยากรยั่งยืน | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-27 ก.ย.47 ที่ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตัวแทนชาวบ้านแม่ฮ่องสอนทั้ง 7 อำเภอกว่า 1,000 คน ร่วมกันจัดกิจกรรม พลังท้องถิ่นกับการจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า อย่างยั่งยืน เรียกร้อง พ.ร.บ.ป่าชุมชน และเสนอให้องค์กรชุมชนมีส่วนร่วม
ในงานมีการระดมความคิดเห็นเพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการจัดการ ดิน น้ำ ป่า ในแต่ละพื้นที่ เพื่อหาแนวทางจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดทรัพยากรจากภาคประชาชนให้จังหวัดนำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้พูดถึงสิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ว่า สิทธิชุมชนดั้งเดิมนั้นคือ ระบบเครือญาติ และระบบชุมชน ซึ่งชุมชนได้สร้างระบบกำกับดูแลทรัพยากรธรรมชาติกันมานานแล้ว ซึ่งชาวบ้านย่อมใช้สิทธิในการกำหนดชีวิตของตัวเองได้ แต่ระบบรัฐได้เข้าทีหลัง และเข้ามาตัดสินใจแบบรัฐ โดยมุ่งหวังแต่เพียงการสร้างกำไร การปลูกพืชเชิงเดี่ยว จึงเกิดความขัดแย้งกันมาตลอด
นายไพรสน ไพรเนติธรรม สมาชิกสภาจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขต 1 อ.ปางมะผ้า กล่าวว่า เมื่อเดือนก่อนได้เข้าชี้แจงทำความเข้าใจ ในเรื่องการจัดการดิน น้ำ ป่า ของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ หลังจากที่รัฐมีนโยบาย 4 ป มีชาวบ้านถูกจับข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า รวมทั้งตัวเองก็ถูกจับด้วย
"รัฐไม่เข้าใจระบบการทำไร่หมุนเวียน ว่ามันเป็นวิถีดั้งเดิมของชาวบ้าน ไม่ใช่การเข้าไปทำลายป่า ผืนใหม่ จึงอยากเสนอให้ทางรัฐบาลว่า เมื่อมีโครงการต่างๆ เข้ามา อยากขอให้มีการจัดประชาคมในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ" นายไพรสน กล่าว
ในกรณี เรื่อง พ.ร.บ.ป่าชุมชนนั้น ชาวบ้านมีความตื่นตัวในเรื่องนี้กันมาก และกำลังมีการร่วมลงชื่อเรียกร้องกันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ผ่านพิจารณา แต่ถึงแม้ยังไม่มี พ.ร.บ.ป่าชุมชน เราก็อยากให้รัฐได้อนุญาตให้ชาวบ้านได้ใช้สิทธิในการจัดการเหมือนแต่ก่อน
น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ตัวแทนเครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า นำงานวิจัยชาวบ้าน เกี่ยวกับภูมิปัญญาสาละวินมานำเสนอให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ว่า มีชุมชนท้องถิ่นจำนวน 102 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่รอบๆ แม่น้ำยวม แม่น้ำเงา แม่น้ำเมย และแม่น้ำสาละวิน ได้ทำการศึกษาวิจัยในเรื่องการจัดทรัพยากรฯ ดิน น้ำ ป่า ไม่ว่าเรื่องการหาปลา การใช้เครื่องมือหาปลาพื้นบ้าน การทำเกษตรริมแม่น้ำและไร่นา การทำไร่หมุนเวียนและการรักษาพันธุ์พืช รวมไปถึงเรื่องระบบนิเวศและการศึกษาทางด้านสังคมวัฒนธรรมดั้งเดิม
นางไพรศาล สุริยมณฑล ผู้ประสานงานโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ จ.แม่ฮ่องสอน ได้เปิดเผยข้อมูล สรุปสภาพปัญหาและสถานการณ์ในพื้นที่ของจ.แม่ฮ่องสอน ว่าจากการให้ชาวบ้านในแต่ละชุมชนเป็นผู้ศึกษาวิจัยค้นหาสภาพปัญหาของแต่ละชุมชนกันเอง แล้วนำเสนอให้ทุกฝ่ายทุกองค์กรได้รับรู้ พบว่า มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวบ้าน กับปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรฯ เช่น เจ้าหน้าที่จับกุมชาวบ้านที่เข้าไปทำไร่หมุนเวียน การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตป่าสงวนแห่งชาติทับพื้นที่ทำกินชาวบ้าน
รวมไปถึงปัญหาเรื่องการไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ จะนำเสนอให้กับจังหวัดเพื่อนำไปสู่แผนยุทธศาสตร์จังหวัดต่อไป
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/536 | 2004-09-29 23:02 | ร้องกมธ.วุฒิฯ จัดการทุจริตคลองด่าน | ประชาไท -- 29 ก.ย. 2547 นายเฉลา ทับทิมทอง ตัวแทนชาวบ่านคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ เข้าพบพลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ ประธานกมธ.วิสามัญตรวจสอบการทุจริต วุฒิสภา เรียกร้องให้วุฒิสภาดำเนินการกรณีทุจริตในโครงการบำบัดน้ำเสีย คลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ โดยระบุว่าชาวบ้านคลองด่านไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินการกับกรณีดังกล่าว แม้จะมีข้อมูลหลักฐานชัดแจ้งว่ามีการทุจริตแต่ก็ไม่มีการดำเนินการใด ๆ กับผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนักการเมือง และไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำสงครามกับการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง
ด้านประธานกมธฯ กล่าวว่าตนต้องการให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช )จัดการกับกรณีคลองด่านให้เร็วที่สุดเพื่อเป็นแบอย่างในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นต่อไป
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/535 | 2004-09-29 22:03 | ทำไมคนไทยต้องสนใจ น้ำเทิน 2 ตอนที่ 3 | ทำไมคนไทยต้องสนใจ น้ำเทิน 2 ตอนที่ 3
น้ำเทิน 2 เหลือเพียงการรอคอย
ปรับเข็มทิศข่าว
"มีคำถามอื่น ๆ อีกไหม" ผู้ดำเนินการประชุมน้ำเทิน 2 รอบสุดท้ายที่กรุงเวียงจันทน์ ถามย้ำทุกช่วงที่มีการเปิดให้ผู้ร่วมประชุมตั้งคำถาม
จำนวนผู้ร่วมประชุมที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกับโครงการ น้ำเทิน 2 น้อยกว่าการประชุมที่เมืองไทยมากอย่างเทียบกันไม่ได้ คงมีเพียงเจ้าหน้าที่จากองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ ไม่กี่คนที่ยังคงทำหน้าที่ซักค้าน แต่ก็ไม่หนักหน่วงนัก
ดิฉันมั่นใจว่าไม่เห็นเอ็นจีโอจากประเทศไทยที่เคยเข้าร่วมการประชุมที่กรุงเทพฯ ในงานนี้แม้สักคนเดียว
ในช่วงเวลาที่มีแต่ความเงียบ ดิฉันได้ยินเสียงสะท้อนและภาพที่ฉายซ้ำในความทรงจำชุดหนึ่ง
"ผมคิดว่าไม่คุ้มกับการต้องเดินทางไป เพื่อร่วมประชุมสั้น ๆ และเราคงไม่สามารถแสดงความเห็นอะไรได้มากเท่าที่กรุงเทพฯ" ผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติอินโดจีนและพม่าให้เหตุผลที่ไม่ไปร่วมการประชุมที่เวียงจันทน์
"คนลาวเขาไม่คิดอะไรต่างจากรัฐบาลหรอก"
"ทำไมล่ะพี่"
"ถ้าคุณพูดว่าคุณไม่เห็นด้วย ชีวิตคุณก็จะหาไม่น่ะซี" นักข่าวรุ่นพี่ที่คร่ำหวอดอยู่กับข่าวแถบ
อินโดจีนมานานให้แง่มุมในการทำข่าวไว้ก่อนเดินทาง
"คนลาวที่ต้องย้ายถิ่นฐานเพราะการสร้างเขื่อนก็คงไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนหรอก อาจจะยินดีด้วยซ้ำที่จะได้พัฒนา มีไฟฟ้าใช้ เพราะประเทศลาวมีที่ดินและป่าไม้เหลืออีกเยอะ อยู่ที่นี่ไม่ได้ ก็ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ทั้งประเทศมีแต่ป่า เสียไปสักป่าหนึ่งก็ยังเหลืออีกเยอะ" นักเขียนสารคดีผู้ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ในเมืองลาวบ่อยครั้งให้ความเห็น
นาย สมดี ดวงดี รับมนตรีว่าการกระทรวงการเงิน สปป.ลาวกล่าว ในการประชุมที่โตเกียวว่า ประเทศลาวต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ในฐานะที่เราเป็นประเทศหนึ่ง เราก็ควรยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
ทัศนคติเหมือนเข็มทิศในการทำข่าว ทว่าเข็มทิศนั้นหันไปทางทิศเหนือเสมอ แต่ทัศนคติอาศัยสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด ก่อนจะออกเดินทางไปทำข่าวการประชุมน้ำเทิน 2 รอบสุดท้ายที่เวียงจันทน์ คำแนะนำที่ได้รับส่วนใหญ่ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ คือปรับเข็มทิศข่าวเสียก่อน ไม่เช่นนั้นนักข่าวหน้าใหม่ก็อาจหลงทางในเมืองเล็กอย่างเวียงจันทน์ได้ง่าย ๆ
การยืนยันด้วยความเงียบ
การคาดการณ์ไม่ต่างจากความจริง นี่แหละหนา สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
ตลอดช่วงเช้าซึ่งเป็นพิธีเปิดโดยรองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว การนำเสนอของธนาคารโลก การนำเสนอของรัฐบาลลาว ไม่มีการตั้งคำถามจากชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุม กระทั่งผู้ดำเนินรายการต้องย้ำหลายครั้ง
"ผมอยากได้ยินคำถามเป็นภาษาลาวบ้าง มีชาวบ้านเข้าร่วมประชุมหลายคน อยากให้มีคำถามจากชาวบ้านบ้าง"
ความเงียบของชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมทำให้ทำให้จอความจำของดิฉันฉายภาพและเสียงซ้ำไปมาดังข้อความข้างต้น
ลาว - ไทย ไม่ใช่อื่นไกล แต่ไม่เหมือนกัน
จนกระทั่งบ่ายก่อนที่การประชุมจะจบลง ชาวบ้านจากแขวงคำม่วนซึ่งเป็นพื้นที่เก็บน้ำโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 3 คนลุกขึ้นแสดงความเห็น เรียกร้องให้ธนาคารโลกสนับสนุนโครงการน้ำเทิน 2 พวกเขาเชื่อว่าโครงการนี้จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่พัฒนาขึ้น พวกเขาไม่ได้เรียกร้องสิทธิในการจัดการทรัพยากรของชุมชนด้วยชุมชนเอง พวกเขายกความผูกพันในถิ่นฐานบ้านช่องขึ้นเป็นข้อเรียกร้อง สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือ....
"ขอให้พวกเฮาได้รับสิทธิที่จะพัฒนาทุกด้าน" นายบรรจง วงใจ ชาวบ้านจากบ้านากายเหนือกล่าวถึงสิทธิที่เขาต้องการ
"อย่างชาวบ้านที่ปากมูลพูดที่กรุงเทพฯเราก็รับฟัง พี่เข้าใจว่าคนไทยเป็นห่วง แต่ว่าเราไม่ได้มีทางเลือกในการพัฒนาเหมือนเมืองไทย คนไทยมีทางเลือก ก็คัดค้านได้ และในจินตนาการก็คงคิดว่าชาวบ้านอยู่อย่างพอมีพอกิน มีแม่น้ำลำธาร มีอาหารพอเพียง แต่ความจริงคือ คนลาวจนมาก บ้านยังต้องมุงด้วยใบตองเหลือง ทำนาไม่พอกิน" ทีปกร จันทวงสา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการเงิน สปป.ลาวกล่าว
การรอคอย...อีกไม่นาน
"ถ้าทางการลาวเขาจัดการกับความเห็นต่างของประชาชนได้ดีขนาดที่ไม่มีใครกล้าแสดงความ "ไม่เห็นด้วย" กับรัฐบาล เช่นนั้นแล้ว การประชุมน้ำเทิน 2 ที่ผ่านมาทั้งหมด 4 รอบนั้นจัดขึ้นเพื่ออะไร" ฉันถาม
"ก็เพราะคนคัดค้านมันอยู่ข้างนอกประเทศไง" นักข่าวรุ่นพี่คนเดิมตอบ
" ธนาคารโลกได้วางกรอบการตัดสินใจที่จะสนับสนุนโครงการน้ำเทิน 2 ไว้ 3 กรอบ กรอบที่ 3 กำหนดว่าโครงการนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาคมสากล" ไชยประเสริฐ พมโสภา หัวหน้าสำนักเลขานุการคณะกรรมการพลังงานแห่งซาดลาว กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องจัดการประชุม ที่กรุงเทพฯ โตเกียว ปารีส และวอชิงตันดีซี
และจากนี้ไป กระบวนการที่เปิดโอกาสให้กับประชาคมสากลเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นหมดลงแล้วพร้อมสัญญาณความพอใจของธนาคารโลกต่อการดำเนินการโครงการน้ำเทิน 2 ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาเกือบ10 ปี
ระหว่างนี้เหลือตัวละครเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะโลดแล่นอยู่ในเรื่องราวของโครงการน้ำเทิน 2 คือ ธนาคารโลก รัฐบาลลาว และบริษัทน้ำเทิน 2 (ซึ่งเป็นการถือหุ้นร่วมกันระหว่างบริษัทไฟฟ้านานาชาติแห่งประเทศฝรั่งเศส รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว บริษัทผลิตไฟฟ้า ประเทศไทย (EGCO) และบริษัทอิตาเลียน - ไทย จำกัด)
ตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่เหลือจะเป็นผู้กำหนดอนาคตของโครงการน้ำเทิน 2 และทรัพยากรป่าไม้และสายน้ำ รวมทั้งชีวนานาพันธุ์ของประเทศลาว(และของโลก?)
พิณผกา งามสม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/537 | 2004-09-29 23:05 | เมกาวตีทิ้งทวน อนุมัติงบให้ตัวเอง | ประชาไท -- 29 ก.ย. 2547 นางเมกาวตี ซูกาโน บุตรี ทิ้งทวนตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยการลงนามในกฤษฎีกา อนุญาตให้อดีตผู้นำประเทศสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อบ้านพักมูลค่า 2.22 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งรถยนต์พรอมคนขับ และสวัสดิการรักษาพยาบาลตลอดชีพ
การที่นางเมกาวตีลงนามอนุมัติงบประมาณและสวัสดิการให้กับอดีตผู้นำประเทศ ก่อนที่ตนเองจะพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ตุลาคมที่จะถึง ได้สร้างความไม่พอใจองค์กรการเมืองในอินโดนีเซียเป็นอันมาก เนื่องจากทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างผู้นำทางการเมืองซึ่งมีฐานะร่ำรวยในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/538 | 2004-09-29 23:06 | โภคินถกจิ๋วแก้ปัญหาใต้ 1 ต.คนี้ | ประชาไท - 29 ก.ย. 2547 นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า จะหารือกับพล.อ.ชวลิต รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อวางแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
การประชุมหารือดังกล่าวจะเป็นการประเมินยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาภาคใต้ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2547 ถึงปัจจุบัน โดยหวังจะสะท้อนปัญหา และหาวิธีการแก้ไขปรับปรุง เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จัหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
ทั้งนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้กำชับ ให้พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ดูแลการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แบบบูรณาการ
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/541 | 2004-09-29 23:10 | จำลองยัน ไม่รุกที่สปก. | ประชาไท -- 29 ก.ย. 2547 พล.ต.จำลอง ศรีเมืองยืนยัน มูลนิธิตัวเองถือครองที่สปก. ถูกต้องตามกฎหมาย
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ชี้แจงต่อกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนฯ ว่ามูลนิธิจำลอง ศรเมืองได้ถือครองที่ดิน สปก.อย่างถูกต้อง โดยชี้แจงว่ามูลนิธิได้ขออนุญาตถือครองที่ดินสปก. 2 แปลงคือที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งได้รับอนุญาตแล้ว ส่วนอีกแปลงหนึ่งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรียังไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้พล.ต. จำลองกล่าวว่า หากผลการตรวจสอบระบุว่าการถือครองที่ดินสปก.ของมูลนิธิฯ ผิดกฎหมายก็พร้อมจะรับผิด แต่ได้แสดงความเห็นว่าการที่รัฐทำการยึดที่ดินจากเกษตรกรนั้นแสดงว่ารัฐบาลใช้อำนาจไม่ถูกต้อง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/540 | 2004-09-29 23:09 | กทม. เตรียมออกข้อบัญญัติควบคุมเจ้าตูบ | ประชาไท -- 29 ก.ย. 2547 กรุงเทพมหานครเตรียมออกข้อบัญญัติกรุงเทพฯ ว่าด้วยการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข ป้องกันปัญหาสุนัขทำร้ายเด็ก
โดยข้อบัญญัติดังกล่าวจะกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัขให้เจ้าของต้องถือปฏิบัติ เช่น สุนัขพันธุ์ดุร้าย เช่น ร็อด ไวเลอร์ ต้องเลี้ยงในสถานที่จำกัดหรือในกรงและต้องมีป้ายเตือนให้บุคคลภายนอกระมัดระวังติดไว้ในบริเวณที่เห็นชัด
ทั้งนี้ ข้อบัญญัติดังกล่าวจะถูกเสนอเข้าสู่สภากรุงเทพมหานครเพื่อให้ความเห็นชอบและเพิ่มเติมรายละเอียดจากสภากรุงเทพมหานครอีกครั้งหนึ่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/542 | 2004-09-29 23:11 | ปชป.เตรียมกระทู้สดสัมปทานแหลมฉบัง | ประชาไท--29 ก.ย.2547 นายกอรปศักด์ สภาวสุ ส.ส.ประชาธิปัตย์ เตรียมกระทู้สดตั้งข้อสงสัยมติครม.ให้สัมปทานแก่บริษัทฮัทชิสัน เจวี เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและบริหารท่าเรือจำนวน 6 ท่าที่แหลมฉบังเป็นระยะ 30 ปี ระบุ ไม่โปร่งใส มีการเอื้อประโยชน์
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกบริษัทที่รับสัมปทานโดยกำหนดคะแนนข้อเสนอทางเทคนิคร้อยละ 80 แต่กำหนดคะแนนข้อเสนอด้านราคาเพียงร้อยละ 20 นั้นอาจไม่โปร่งใส เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เกิดการทุจริตได้ เพราะเท่ากับว่าให้ความสำคัญกับผลตอบแทนซึ่งรัฐบาลจะได้น้อยกว่าคุณสมบัติทางเทคนิค
นายกอรปศักดิ์กล่าวว่าตนอยากให้รัฐบาลชี้แจงหลักเกณฑ์การคัดเลือกของกระทรวงคมนาคม โดยตนจะตั้งเป็นกระทู้สดถามรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ และจะเรียกร้องให้มีการทบทวนมติครม.ดังกล่าว
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/543 | 2004-09-29 23:13 | อุตฯ เตรียมแทรกแซงราคาเหล็กเส้น | ประชาไท -- 29 ก.ย. 2547 กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมแทรกแซงราคาเหล็กเส้นโดยการกำหนดราคากลาง และเป็นตัวกลางให้กับผู้ซื้อ-ผู้ผลิตเหล็กโดยตรงเพื่อตัดพ่อค้าคนกลาง และป้องกันการกักตุนเหล็ก
ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะประชุมกับผู้ประกอบการเหล็กเส้นเพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับกำลังการผลิต และราคา ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดราคากลางเหล็กเส้น และจะเรียกผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างมาหารือในอีก 3-4 วันหลังจากนี้เพื่อเจรจาแก้ปัญหาการกักตุนเหล็ก
ทั้งนี้ แม้ปัจุบันเหล็กเส้นของไทยจะราคาถูกกว่าตลาดภายนอก ประมาณ 18% แต่ผู้ค้าเหล็กภายในประเทศมักอ้างราคาตลาดโลก กักตุนสินค้า และปรับขึ้นราคาเหล็กเป็นรายชั่วโมง
ด้านสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เสนอการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยการเปิดเสรีการนำเข้าเหล็กชั่วคราว และยกเลิกกำแพงภาษีที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อลดต้นทุนสินค้าเหล็ก
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/544 | 2004-09-29 23:35 | "อธิการมอ." เดินหน้าออกนอกระบบ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-29 ก.ย.47 นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงกรณีบุคลากรของมหาวิทยาลัยกว่า 1,500 คน คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบกับ "ประชาไท" ว่า เป็นเพียงความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จากการรับฟังความเห็นของบุคลากรและนักศึกษาบางส่วน มีบางกลุ่มเสนอให้ชะลอรอดูผลดีผลเสีย จากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยอื่นก่อน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ต้นเดือนพ.ย. นี้ มหาวิทยาลัยจะเปิดรับฟังความเห็นนักศึกษาอีกครั้ง เพราะนักศึกษาเป็นห่วงว่า เมื่อออกนอกระบบแล้ว ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นหรือไม่ และนักศึกษาจะได้อะไร จากนั้นจะนำผลการรับฟังความคิดเห็น และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ก่อนส่งร่างกลับไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้ง ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ แต่ถ้าไม่ทันก็จะขอขยายเวลาออกไปอีก ตนไม่รีบร้อน แต่จะไม่ให้ตกขบวน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ส่วนจะรับฟังความเห็นของประชาชนทั่วไปหรือไม่นั้น ต้องดูความเข้าใจของประชาชนต่อการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย และปรึกษาสภามหาวิทยาลัยก่อน หากสภามหาวิทยาลัยมีมติให้ทำ จะทำทันที ตนทำโดยพละการไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนโยบาย ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความเห็นมาได้ นายประเสริฐ กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ฉบับนี้ อาจจะไม่แล้วเสร็จในสมัยที่ตนเป็นอธิการบดี ที่จะหมดวาระกลางปี 2549 เพราะคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของสภาในปี 2549 เหตุที่ช้าเพราะมหาวิทยาลัยมีสาขาวิชาหลากหลาย และมีหลายวิทยาเขต ทำให้การดำเนินการต่างๆ ล่าช้าไปด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงลานครินทร์ฉบับนี้ กลับมาให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยืนยันในส่วนที่คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้จากร่างที่เสนอไป ภายใน 14 วัน นับจากวันที่ 12 ส.ค.47 มหาวิทยาลัยจึงนำกลับมารับฟังความเห็นของอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาอีกครั้ง พร้อมกับขอขยายเวลาส่งกลับไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นวันที่ 15 พ.ย.นี้
นายอุตส่าห์ จันทร์อำไพ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยควรรับฟังความเห็นจากทุกส่วน เพราะมหาวิทยาลัยเป็นของทุกคน กรณีนี้มีผลกระทบกับส่วนรวม จึงควรให้คนทุกวงการได้แสดงความเห็น ตนเห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนให้การบริหารดีขึ้น แต่วิธีการปรับปรุงมีหลายรูปแบบ
นายอุตส่าห์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้การดำเนินการทุกอย่างมุ่งสู่การออกนอกระบบ มหาวิทยาลัยควรศึกษาวิจัยความล้มเหลวของระบบการศึกษา และการบริหารการศึกษามากกว่า จะรีบเร่งนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่า มีผลดีอย่างไร ความคิดออกนอกระบบเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียมาช่วยด้านการศึกษา ทางธนาคารพัฒนาเอเชียจึงมีเงื่อนไขให้มหาวิทยาลัยหารายได้เอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐลง จะได้มีหลักประกันว่ารัฐสามารถใช้หนี้คืนได้ แต่ขณะนี้สถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะออกนอกระบบอีกต่อไป
นายอุตส่าห์ กล่าวต่อไปว่า การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เป็นส่วนหนึ่งของการค้าเสรี ที่ต้องการให้การศึกษาเป็นสินค้า เปิดให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้อย่างเสรี มหาวิทยาลัยในประเทศต้องใช้งบประมาณปรับปรุงคุณภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขัน เมื่อออกนอกระบบไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐเต็มที่ ทางเดียว คือ ปรับค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น ขณะที่มหาวิทยาลัยต่างชาติมีทุนมากกว่า สามารถดึงนักวิชาการเก่งๆ ไปอยู่ด้วย ถ้าปล่อยเช่นนี้ มหาวิทยาลัยไทยพบจุดจบแน่
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/545 | 2004-09-29 23:40 | "นิเดร์" ขู่" โต๊ะครู" เตรียมชุมนุมไล่ผู้มีอำนาจ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-29 ก.ย.47 นายนิเดร์ วาบา นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวกับ "ประชาไท" ว่า ในเร็วๆ นี้ อาจจะมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มโต๊ะครู และครูสอนศาสนา เพื่อขับไล่ผู้มีอำนาจบางคน ที่ออกมากล่าวหาครูสอนศาสนาและโต๊ะครูว่า มีส่วนพัวพันกับการก่อการร้าย โดยปราศจากข้อเท็จจริง ใช้ข้อกล่าวหาเข้าตรวจค้นสถานศึกษาต่างๆ โดยไม่เหมาะสม และไม่เคยพบหลักฐานตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด คนพวกนี้ชอบออกข่าวว่า มีคนเข้าไปพัวพันกับขบวนการก่อการร้าย จำนวนเท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่ยอมจับกุม
นายนิเดย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แต่เพียงผู้เดียวนั้น ตนเชื่อมั่นว่าพล.อ.ชวลิตจะแก้ปัญหาได้ ส่วนที่ประกาศว่าจะมีการปราบปรามใหญ่ หลังวันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป
ทั้งยังมั่นใจว่ารายชื่อผู้ก่อความไม่สงบในมือพล.อ.ชวลิตขณะนี้ น่าจะเป็นของจริง ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว ส่วนจะมีใครบ้าง ตนไม่ทราบ ทั้งนี้ ต้องใช้สันติธีเข้ามาจัดการ การดำเนินการทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
นายนิเดร์ กล่าวอีกว่า ยังมีผู้มีอำนาจบางคนที่คิดว่า มีอำนาจแล้วจะแก้ปัญหาได้คนเดียว เป็นความคิดที่ผิด ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไข โดยเฉพาะผู้นำศาสนาและโต๊ะครู แต่ลำพังโต๊ะครูไม่มีความสามารถ อาวุธของโต๊ะครูมีอย่างเดียว คือ ดุอา เพราะฉะนั้น รัฐต้องให้ความสำคัญกับโต๊ะครูด้วย ที่ตนออกมาทำงานตรงนี้ เพราะต้องการให้สังคมมุสลิมมีสันติสุข
นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวอีกว่า การจัดระเบียบปอเนาะต้องทำร่วมกับโต๊ะครูเจ้าของปอเนาะ และผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อหารูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ในขณะเดียวกันต้องคงลักษณะดั้งเดิมของสถาบันทางศาสนาชนิดเอาไว้ด้วย
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/551 | 2004-09-30 00:13 | นักกม.แฉรัฐละเมิดรธน.เอื้อผูกขาด" สิทธิบัตร" | ประชาไท - 29 ก.ย.47 กมธ.ต่างประเทศ วุฒิสภา เชิญทุกฝ่ายชี้แจงความเชื่อมโยง" สิทธิบัตร" "อนุสัญญา PCT" และ "FTA" หลังเกิดกรณีถกเถียงเกี่ยวกับสิทธิบัตรในมะละกอจีเอ็มโอ "เจริญ คัมภีรภาพ" ชี้รัฐบาลละเมิดรัฐธรรมนูญ อนุมัติโดยไม่ผ่านสภา ด้านรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญายืนยัน PCT เป็นแค่ "รถขนส่ง" อำนวยความสะดวก
"การที่ไทยเข้าเป็นภาคี PCT เป็นการให้สิทธิคนต่างชาติในไทย จะต้องมีการแก้กฎหมายสิทธิบัตรเดิม ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ระบุว่าต้องเสนอผ่านรัฐสภา ดังนั้น มติครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.จึงขัดรัฐธรรมนูญ" นายเจริญ คัมภีรภาพ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว
ทั้งนี้ มติครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2547 ได้เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้ไทยเข้าเป็นภาคี PCT ได้ และขณะนี้อยู่ในขั้นของการขอความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
นายเจริญกล่าวต่อว่า อนุสัญญา PCT เป็นหนึ่งในระบบกฎหมายระหว่างประเทศ ที่เชื่อมโยงกับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ซึ่งสหรัฐอเมริกาพยายามผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเป็นภาคี PCT เพื่อนำไปสู่การขยายความคุ้มครองสิทธิบัตรไปยังสิ่งมีชีวิต ถือเป็นการพยายามผลักฐานทรัพยากรชีวภาพออกไปนอกประเทศโลกที่ 3 โดยคนที่มีเทคโนโลยีสูงกว่าจะฉวยโอกาสของความคุ้มครอง แล้วใช้ระบบสิทธิบัตรขยายให้กว้างไปในประเทศต่างๆ
"PCT เป็น road map ผูกขาดทรัพย์สินทางปัญหา ปัญหาPCT จึงเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของชาติ ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับระบบกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิบัตรทั้งระบบ ดังนั้นรัฐสภาจึงมีสิทธิ 100% ที่จะพิจารณาความเหมาะสม" นายเจริญกล่าว
ขณะที่นายกฤษฎา พงษ์พันธุ์ นักกฎหมายกฤษฎีกา 7 ว. จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากล่าวว่า ทางกฤษฎีกาตั้งข้อสังเกตไว้แล้วในการออกกฎกระทรวงเพื่อรองรับการเป็นภาคี PCT จึงได้มอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา ไปศึกษาทั้งอนุสัญญา PCT ซึ่งอยู่ในสนธิสัญญา Paris ก่อนว่าต้องออกกฎหมายระดับใดเพื่อรองรับพันธกรณีจากสนธิสัญญาและอนุสัญญาดังกล่าว เมื่อได้ข้อยุติแล้วให้เสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกครั้งเพื่อพิจารณาต่อ
ด้านนายบรรยงค์ ลิ้มประยูร รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า ระบบPCT เป็นเหมือนระบบรถขนส่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ยื่นคำขอ ซึ่งไทยพยายามดำเนินการเรื่องนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว และกระทรวงพาณิชย์เพิ่งได้ข้อสรุปเสนอต่อครม.ไปตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.2546 ขณะนี้อยู่ในขั้นให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ส่วนว่าจะอยู่ในข้อเจรจาเอฟทีเอหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของคณะเจรจาที่ต้องต่อรอง
"ไม่ว่าจะมี PCT หรือไม่ การเรียกร้องกดดันต่างๆ จากภายนอกก็ยังคงมีอยู่ กรมทรัพย์สินทางปัญญาเพียงต้องการให้คนไทยจดสิทธิบัตรง่ายขึ้น เพราะขณะนี้คนไทยเริ่มจดสิทธิบัตรกันมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนต่างชาติ เป็น 40:60 จาก 10:90"
นอกจากนี้นายบรรยงค์ ยังได้ตอบคำถามที่ประชุมซึ่งได้ซักถามหลายครั้งว่ามีการประเมินข้อเสียจากการเข้าเป็นสมาชิก PCT หรือไม่ว่า ผู้ที่จะได้รับผลเสียโดยตรงก็คือกลุ่มทนาย ซึ่งจะเสียรายได้ในการดำเนินการยื่นคำขอ เพราะผู้ยื่นคำขอสามารถยื่นจดที่ใดก็ได้เพียงที่เดียว แล้วระบุประเทศสมาชิกต่างๆที่ต้องการให้คุ้มครองได้โดยไม่ต้องเดินทางไปดำเนินการทีละประเทศ ทั้งนี้ แต่ละประเทศก็ยังมีสิทธิที่จะตรวจสอบคำขอนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ด้านดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมายอิสระ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเสนอเป็นกฎกระทรวงให้กฤษฎีพิจารณา อาจตีความได้ว่าได้ว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญามีความคิดที่จะเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐสภา นอกจากนี้ยังตั้งคำถามต่อศักยภาพของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่จะตรวจสอบการยื่นคำขอจดสิทธิบัตรจำนวนมากจากประเทศพัฒนาแล้ว
มุทิตา เชื้อชั่ง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/546 | 2004-09-29 23:42 | มช.ชี้นโยบาย ส.ป.ก.เหลวคนจนเข้าไม่ถึง | ศูนย์ข่าวภาคเหนือ-29 ก.ย.47 นักวิชาการชี้ ส.ป.ก.ล้มเหลว เลือกปฏิบัติ ชี้ชัดมีพื้นที่รกร้างกว่า 30 ล้านไร่แต่ถูกนายทุนเข้าจับจอง
"อย่างปัญหาเรื่องที่ดินเชียงใหม่ ลำพูน ซึ่งผมได้เข้าไปคลุกคลี มีการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ให้แก่คนที่ไม่ได้เป็นเกษตรกร เป็นข้าราชการเกษียน ข้าราชการบำนาญ ออกเอกสารสิทธิ์ให้กับเจ้าของโรงงานไอศกรีม จนกระทั่งมีกรรมการเข้าไปสอบสวนแล้วว่าน่าจะมีการให้ผิดหลักการ และกระบวนการในการตรวจสอบนั้นช้ามาก" นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล นักวิชาการกฎหมายจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ระบุ
อ.สมชาย ระบุว่า กรณีที่ นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จะยึดที่ดินที่ผู้ถือครองเกินห้าร้อยไร่ และไม่ได้ทำประโยชน์นั้น โดยอำนาจรัฐสามารถยึดคืนได้ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรรายย่อยที่ยากจน แต่ปัญหาคือ รัฐกระทำโดยเสมอภาคหรือไม่
"ผมตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่แค่กรณีพล.ต.จำลอง แม้กระทั่งคุณเอกยุทธ คุณชูวิทย์ ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีปัญหากับรัฐบาล โดนข่าวกรอง โดนปปง. อะไรต่อมิอะไร ทำให้รู้สึกว่า อำนาจที่รัฐจักกระทำนั้นได้ แต่รัฐบาลกระทำโดยเสมอภาคหรือไม่ หากทำเสมอภาค ปัญหาที่ดินลำพูนมันต้องถูกแก้ไขไปนานแล้ว ชาวบ้านที่บุกรุกที่ดิน ต้องถูกจับขึ้นศาล" อ.สมชาย กล่าว
นักวิชาการมช.เห็นว่า ระบบการปฎิรูปที่ดินในเมืองไทย มีความผิดพลาดในหลักการ เพราะหัวใจของการปฎิรูปที่ดินก็คือ การกระจายถือครองที่ดิน ให้ที่ดินที่มีอยู่ได้กระจายไปสู่มือของเกษตร กรให้เกิดความเท่าเทียม
แต่ ณ วันนี้ พบว่าไม่ใช่การปฏิรูปการถือครองที่ดิน แต่เป็นการเอาพื้นที่ป่ามาเฉือนให้แก่เกษตรกร โดยที่คนที่ถือครองที่ดินอยู่มาก ก็ยังไม่ได้ถูกทำให้ที่ดินของตนเองที่ถือครองนั้น ถูกทำให้ที่ดินกระจายออกไป
"มีงานวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518-2542 เขารวมผลงานการปฏิรูปที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน ว่าได้ปฏิรูปที่ดินไปทั้งหมดประมาณ 58 ล้านไร่ เป็นที่ดินของรัฐ ป่าสงวน ป่าเสื่อมโทรม ที่นำมาจัดสรร แต่รัฐไปซื้อไปเวนคืนที่ดินมาจากเอกชนมีอยู่ไม่ถึง 5 แสนไร่ จากตัวเลขนี้บ่งบอกได้ว่า การถือครองที่ดินในบ้านเรา ได้อนุญาตให้คนรวยถือครองที่ดินกันเยอะมาก และยังคงถือครองที่ดินกันต่อไป" อ.สมชาย กล่าว
นายสืบสกุล กิจนุกร กองเลขานุการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กล่าวว่า ควรมีการแก้กฎหมาย ส.ป.ก. ที่เปิดช่องให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรถือครองที่ดิน หรือใช้ตัวกฎหมายนี้มาเป็นข้ออ้าง เช่น นำไปทดลองการทำเกษตรธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนในการผลิต เอามาทดลองการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งโดยหลักการฟังแล้วดูดี แต่ปัญหาในทางปฏิบัติ กลับเป็นการเปิดให้คนรวยใช้ช่องนี้ถือครองที่ดิน
นายสืบสกุล ยังเสนออีกว่า รัฐต้องให้เกษตรกรเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฎิรูปที่ดินด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา โครงสร้างคณะกรรมการฯ หรือ การแต่งตั้งคณะกรรมการการปฏิรูปที่ดินในระดับจังหวัด จะมีเกษตรกรเข้าร่วมเพียงคนสองคนเท่านั้นที่เหลือทั้งหมด เป็นข้าราชการและผู้ที่ถูกแต่งตั้งก็มาจากกลุ่มคนใกล้ชิดกัน
องอาจ เดชา
ศูนย์ข่าวภาคเหนือรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/547 | 2004-09-29 23:58 | ผู้เชี่ยวชาญห่วงหวัดนกไทยกลายพันธุ์ | ฮุสตัน-29 ก.ย.47 นายสก๊อต โดเวล ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ GDC เปิดเผยว่า เชื้อไข้หวัดนก H5-N1 ในประเทศไทยอาจมีการกลายพันธุ์เพราะผลจากการตรวจในห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่งพบว่า ตัวHมีหน้าตาเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามนายสก๊อตกล่าวว่าต้องรอผลการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการของ GDC ที่แอตแลนต้าก่อน
ดร.เคลาส์ ชโตร์ ผู้ประสานโครงการโรคหวัด องค์การอนามัยโลก ที่นครเจนีวา กล่าวว่า เมื่อปี 2540 ไข้หวัดนก อาจเคยแพร่จากคนสู่คนมาก่อนในฮ่องกง แต่เป็นการแพร่เชื้อไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง เช่นเดียวกับที่เกิดในประเทศไทย แต่หลักฐานที่มีจนถึงขณะนี้ ชี้ไปในทางเดียวกันว่า ไม่น่าจะนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อต่อ อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์น่าได้ข้อมูลเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้ ว่าไวรัสไข้หวัดนกที่คร่าชีวิตผู้ป่วยในไทยกลายพันธุ์หรือไม่
ดร.พอล เกลเซน นักวิชาการจากเบย์เลอร์ ออฟ เมดิซีน คอเลจ เมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า แม้กรณีที่เกิดขึ้นในไทย เป็นการแพร่เชื้อที่จบเป็นกรณีไป แต่ทุกครั้งที่ไวรัสไข้หวัดแพร่ เชื้อสู่คนได้เมื่อไหร่ ก็มีโอกาสที่มันจะเกิดการกลายพันธุ์เป็นไวรัสที่สามารถแพร่กระจายระหว่างคนได้ง่ายๆ
ทั้งนี้ ดร.พอล ระบุว่า ไวรัสไข้หวัดนกอาจจะกลายพันธุ์เป็นชนิดที่แพร่ระหว่างคนได้ง่ายๆ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดครั้งใหญ่ของไข้หวัดมรณะทั่วโลก โดยช่วง 100 ปีที่ผ่านมา โลกเคยเผชิญกับการระบาดไข้หวัดในลักษณะนี้ 3 ครั้ง อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่า หากมีการระบาดครั้งใหม่อาจคร่าชีวิตประชาชน 2.8 แสนถึง 6.5 แสนคน โดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/548 | 2004-09-30 00:02 | ชายแดนใต้ยังปลอดพิษหวัดนก ไทย-มาเลย์วางมาตรการคุมเข้ม | ศูนย์ข่าวภาคใต้-29 ก.ย.47 น.พ.วิเชียร แก่นพลอย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ถึงแม้จะมีการระบาดของไข้หวัดนก ในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซีย ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานผู้ป่วยไข้หวัดนกและการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก ในพื้นที่ภาคใต้แต่อย่างใด
น.พ.วิเชียร กล่าวว่า การป้องกันการระบาดของไข้หวัดนก ระหว่างไทยกับมาเลเซียใช้มาตรการเดียวกันคือ เมื่อพบสัตว์ปีกตายจำนวนมาก จะนำไปพิสูจน์หาสาเหตุการตาย หากพบว่าตายเพราะเชื้อไขหวัดนก จะทำลายและควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกทันที สำหรับการป้องกันการระบาดเข้ามาสู่คน ตอนนี้ได้ศึกษาและเฝ้าระวังว่า มีผู้ป่วยตายเพราะไข้หวัดนกหรือไม่ ถ้าพบจะกักบริเวณป้องกันการแพร่เชื้อ โดยมาเลเซียเข้มงวดในการป้องกันการแพร่เชื้อมาก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 - 23 ก.ย.นี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างการประชุมประจำปีคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย - มาเลเซีย ด้านสาธารณสุข มีการรายงานสถานการณ์และมาตรการป้องกันไข้หวัดนกของไทยให้มาเลเซียทราบแล้ว แต่มาเลเซียยังไม่ได้รายงานสถานการณ์ของมาเลเซียให้ไทยทราบแต่อย่างใด
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/550 | 2004-09-30 00:10 | "ทักษิณ" เดิมพันรมต.ทำสงครามหวัดนก | กรุงเทพฯ-29 ก.ย.47 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ทำสงครามกับไข้หวัดนกแบบล้างเผ่าพันธุ์ให้ได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาไข้หวัดนกวันนี้ ว่า จะประกาศผ่านรายการนายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชนในวันเสาร์นี้ เพื่อขอความร่วมมือกับเครือข่าย อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้านออกตรวจทุกหมู่บ้าน หากพบว่ามีไก่ตายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นไข้หวัดนก
" หากไม่สามารถแก้ปัญหาลุล่วง ถ้าผมปรับครม.ครั้งหน้ารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่รองนายกฯ จาตุรนต์ ฉายแสง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.สธ. อนุทิน ชาญวีรกุล รมช.สธ. สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตรฯ เนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ รวมไปถึง ประชา มาลีนนท์ รมช.มหาดไทยด้วยต้องรับผิดชอบด้วย" นายกรัฐมนตรีพูดทีเล่นทีจริง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องการใช้วัคซีนในการป้องกันโรคสำหรับคน รวมถึง การเปลี่ยนแปลงวิธีการเลี้ยงไก่และสัตว์ปีกชนิดต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมแผนไว้แล้ว โดยในสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้
นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า ไข้หวัดนกยังไม่มีการกลายพันธุ์ถึงขั้นติดเชื้อจากคนสู่คน ส่วนกรณีของสองแม่ลูกชาว จ.กำแพงเพชรนั้น ยังไม่มีการชี้ชัดว่า แม่เด็กจะติดเชื้อจากเด็ก หรือจากสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการทำลายเชื้อ เพราะแม่เด็กได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ในที่เดิม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตร กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกรอบสอง ส่วนหนึ่งมาจากชาวบ้านไม่ได้แจ้งปศุสัตว์หรือสัตวแพทย์ในพื้นที่เมื่อมีสัตว์เลี้ยงของตนตายลง ทำให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงฯ ยังไม่ได้กำหนดรัศมีการทำลายไก่หลังจากพบการว่ามีการระบาดว่า ควรเป็นเท่าไร แต่ทั้งนี้ขอให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ สัตว์แพทย์และปศุสัตว์ในพื้นที่เป็นคนตัดสินใจเอง
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/552 | 2004-09-30 00:18 | มะละกอจีเอ็มโอโผล่อุบลฯ | ประชาไท-29 กย. 47 องค์กรประชาชนเผยผลการเก็บตัวอย่างมะละกอ พบปนเปื้อนจีเอ็มโอ 2 ตัวอย่าง หนึ่งในนั้นไปโผล่ที่อุบลฯ ขัดกับที่ "สมศักดิ์" เคยบอกว่าจีเอ็มโอระบาดแค่ขอนแก่น ขู่เสนอนายกฯ ปลด "สมศักดิ์" หากจัดการจีเอ็มโอไม่ได้ใน 30 วัน
"การพบมะละกอจีเอ็มโอที่จังหวัดอุบลราชธานีมีความสำคัญมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบการแพร่ระบาดนอกจังหวัดขอนแก่น ซึ่งขัดแย้งกับคำแถลงของนายสมศักดิ์ เทพสุทินที่กล่าวว่าจากการตรวจสอบในพื้นที่ 35 จังหวัดนั้นพบการปนเปื้อนของมะละกอจีเอ็มโอเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นเท่านั้น" นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการองค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไทย) กล่าว
นายวิฑูรย์กล่าวถึงผลการตรวจว่ามี 2 ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนจีเอ็มโอ นั่นคือ ตัวอย่างมะละกอที่มาจากแปลงของนายกานต์ คุยหนองบัว บ้านหนองสังข์ ต.ไชยสอ อ. ชุมแพ จ. ขอนแก่น และแปลงกล้าพันธุ์ที่ทางป่าไม้จังหวัดส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกเนื่องในโอกาสวันสำคัญที่บ้านสว่างศรีสมบัติ ต. โนนกาเล็น อ. สำโรง จ. อุบลราชธานี
ทั้งนี้ ไบโอไทย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 450 องค์กร ได้ร่วมกันเก็บตัวอย่างมะละกอจากแหล่งต่างๆ ในจังหวัดราชบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี ฉะเชิงเทรา สกลนคร และชุมพร รวมทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตย่านพงษ์เพชร ประชานิเวศ งามวงศ์วาน แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมทั้งสิ้น 28 ตัวอย่าง และนำไปตรวจสอบ ณ สถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นายสุพัฒน์ กุมพิทักษ์ จากเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยภาคอีสานกล่าวว่า ยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 2,669 ราย แต่ได้รับเมล็ดพันธุ์และกล้ามะละกอแขกดำท่าพระผ่านการแจกจากนักการเมืองและสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) และยังมีกล้ามะละกอแขกดำท่าพระอีกส่วนหนึ่งที่ถูกนำไปจำหน่ายในงานวันเกษตรแห่งชาติที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยแพร่กระจายมะละกอจีเอ็มโอ
นายสุพัฒน์ยังกล่าวอีกว่า แปลงทดลองมะละกอจีเอ็มโอที่ จ. ขอนแก่นกับแปลงที่ปลูกมะละกอเพื่อเก็บเมล็ดแจกและขายนั้นถูกกั้นไว้ด้วยถนนดินกว้างเพียง 8 เมตร ซึ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนมะละกอจีเอ็มโอ ซึ่งหากเกิดการปนเปื้อนขึ้นมา กรมวิชาการเกษตรต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคกล่าวว่า หลังจากการสุ่มตรวจครั้งนี้ องค์กรภาคประชาสังคมจะยังคงเดินหน้าตรวจสอบต่อไปให้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่านี้ รวมทั้งจะเก็บตัวอย่างให้ได้มากกว่า 100 ตัวอย่าง ทั้งยังเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แก้ไขปัญหาจีเอ็มโอให้ได้ภายใน 30 วัน หากเกินกว่านี้จะขอให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาตนเอง หรือไม่ก็ให้นายกรัฐมนตรีปลดนายสมศักดิ์ออกจากตำแหน่ง
ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/553 | 2004-09-30 00:20 | มะละกอจีเอ็มโอโผล่อุบลฯ | ประชาไท-29 กย. 47 องค์กรประชาชนเผยผลการเก็บตัวอย่างมะละกอ พบปนเปื้อนจีเอ็มโอ 2 ตัวอย่าง หนึ่งในนั้นไปโผล่ที่อุบลฯ ขัดกับที่ "สมศักดิ์" เคยบอกว่าจีเอ็มโอระบาดแค่ขอนแก่น ขู่เสนอนายกฯ ปลด "สมศักดิ์" หากจัดการจีเอ็มโอไม่ได้ใน 30 วัน
"การพบมะละกอจีเอ็มโอที่จังหวัดอุบลราชธานีมีความสำคัญมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการพบการแพร่ระบาดนอกจังหวัดขอนแก่น ซึ่งขัดแย้งกับคำแถลงของนายสมศักดิ์ เทพสุทินที่กล่าวว่าจากการตรวจสอบในพื้นที่ 35 จังหวัดนั้นพบการปนเปื้อนของมะละกอจีเอ็มโอเฉพาะในจังหวัดขอนแก่นเท่านั้น" นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการองค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย (ไบโอไทย) กล่าว
นายวิฑูรย์กล่าวถึงผลการตรวจว่ามี 2 ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนจีเอ็มโอ นั่นคือ ตัวอย่างมะละกอที่มาจากแปลงของนายกานต์ คุยหนองบัว บ้านหนองสังข์ ต.ไชยสอ อ. ชุมแพ จ. ขอนแก่น และแปลงกล้าพันธุ์ที่ทางป่าไม้จังหวัดส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกเนื่องในโอกาสวันสำคัญที่บ้านสว่างศรีสมบัติ ต. โนนกาเล็น อ. สำโรง จ. อุบลราชธานี
ทั้งนี้ ไบโอไทย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม 450 องค์กร ได้ร่วมกันเก็บตัวอย่างมะละกอจากแหล่งต่างๆ ในจังหวัดราชบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี ฉะเชิงเทรา สกลนคร และชุมพร รวมทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตย่านพงษ์เพชร ประชานิเวศ งามวงศ์วาน แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมทั้งสิ้น 28 ตัวอย่าง และนำไปตรวจสอบ ณ สถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นายสุพัฒน์ กุมพิทักษ์ จากเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยภาคอีสานกล่าวว่า ยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ 2,669 ราย แต่ได้รับเมล็ดพันธุ์และกล้ามะละกอแขกดำท่าพระผ่านการแจกจากนักการเมืองและสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) และยังมีกล้ามะละกอแขกดำท่าพระอีกส่วนหนึ่งที่ถูกนำไปจำหน่ายในงานวันเกษตรแห่งชาติที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยแพร่กระจายมะละกอจีเอ็มโอ
นายสุพัฒน์ยังกล่าวอีกว่า แปลงทดลองมะละกอจีเอ็มโอที่ จ. ขอนแก่นกับแปลงที่ปลูกมะละกอเพื่อเก็บเมล็ดแจกและขายนั้นถูกกั้นไว้ด้วยถนนดินกว้างเพียง 8 เมตร ซึ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนมะละกอจีเอ็มโอ ซึ่งหากเกิดการปนเปื้อนขึ้นมา กรมวิชาการเกษตรต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคกล่าวว่า หลังจากการสุ่มตรวจครั้งนี้ องค์กรภาคประชาสังคมจะยังคงเดินหน้าตรวจสอบต่อไปให้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่านี้ รวมทั้งจะเก็บตัวอย่างให้ได้มากกว่า 100 ตัวอย่าง ทั้งยังเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แก้ไขปัญหาจีเอ็มโอให้ได้ภายใน 30 วัน หากเกินกว่านี้จะขอให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาตนเอง หรือไม่ก็ให้นายกรัฐมนตรีปลดนายสมศักดิ์ออกจากตำแหน่ง
ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/554 | 2004-09-30 00:27 | "อธิการมอ." เดินหน้าออกนอกระบบ | ศูนย์ข่าวภาคใต้-29 ก.ย.47 นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงกรณีบุคลากรของมหาวิทยาลัยกว่า 1,500 คน คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบกับ "ประชาไท" ว่า เป็นเพียงความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จากการรับฟังความเห็นของบุคลากรและนักศึกษาบางส่วน มีบางกลุ่มเสนอให้ชะลอรอดูผลดีผลเสีย จากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยอื่นก่อน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ต้นเดือนพ.ย. นี้ มหาวิทยาลัยจะเปิดรับฟังความเห็นนักศึกษาอีกครั้ง เพราะนักศึกษาเป็นห่วงว่า เมื่อออกนอกระบบแล้ว ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นหรือไม่ และนักศึกษาจะได้อะไร จากนั้นจะนำผลการรับฟังความคิดเห็น และร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ก่อนส่งร่างกลับไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้ง ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ แต่ถ้าไม่ทันก็จะขอขยายเวลาออกไปอีก ตนไม่รีบร้อน แต่จะไม่ให้ตกขบวน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ส่วนจะรับฟังความเห็นของประชาชนทั่วไปหรือไม่นั้น ต้องดูความเข้าใจของประชาชนต่อการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย และปรึกษาสภามหาวิทยาลัยก่อน หากสภามหาวิทยาลัยมีมติให้ทำ จะทำทันที ตนทำโดยพละการไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนโยบาย ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถแสดงความเห็นมาได้ นายประเสริฐ กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ฉบับนี้ อาจจะไม่แล้วเสร็จในสมัยที่ตนเป็นอธิการบดี ที่จะหมดวาระกลางปี 2549 เพราะคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของสภาในปี 2549 เหตุที่ช้าเพราะมหาวิทยาลัยมีสาขาวิชาหลากหลาย และมีหลายวิทยาเขต ทำให้การดำเนินการต่างๆ ล่าช้าไปด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงลานครินทร์ฉบับนี้ กลับมาให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ยืนยันในส่วนที่คณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้จากร่างที่เสนอไป ภายใน 14 วัน นับจากวันที่ 12 ส.ค.47 มหาวิทยาลัยจึงนำกลับมารับฟังความเห็นของอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษาอีกครั้ง พร้อมกับขอขยายเวลาส่งกลับไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นวันที่ 15 พ.ย.นี้
นายอุตส่าห์ จันทร์อำไพ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยควรรับฟังความเห็นจากทุกส่วน เพราะมหาวิทยาลัยเป็นของทุกคน กรณีนี้มีผลกระทบกับส่วนรวม จึงควรให้คนทุกวงการได้แสดงความเห็น ตนเห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนให้การบริหารดีขึ้น แต่วิธีการปรับปรุงมีหลายรูปแบบ
นายอุตส่าห์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้การดำเนินการทุกอย่างมุ่งสู่การออกนอกระบบ มหาวิทยาลัยควรศึกษาวิจัยความล้มเหลวของระบบการศึกษา และการบริหารการศึกษามากกว่า จะรีบเร่งนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ทั้งที่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่า มีผลดีอย่างไร ความคิดออกนอกระบบเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียมาช่วยด้านการศึกษา ทางธนาคารพัฒนาเอเชียจึงมีเงื่อนไขให้มหาวิทยาลัยหารายได้เอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐลง จะได้มีหลักประกันว่ารัฐสามารถใช้หนี้คืนได้ แต่ขณะนี้สถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะออกนอกระบบอีกต่อไป
นายอุตส่าห์ กล่าวต่อไปว่า การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เป็นส่วนหนึ่งของการค้าเสรี ที่ต้องการให้การศึกษาเป็นสินค้า เปิดให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้อย่างเสรี มหาวิทยาลัยในประเทศต้องใช้งบประมาณปรับปรุงคุณภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขัน เมื่อออกนอกระบบไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐเต็มที่ ทางเดียว คือ ปรับค่าเล่าเรียนเพิ่มขึ้น ขณะที มหาวิทยาลัยต่างชาติมีทุนมากกว่า สามารถดึงนักวิชาการเก่งๆ ไปอยู่ด้วย ถ้าปล่อยเช่นนี้ มหาวิทยาลัยไทยพบจุดจบแน่
มูฮำหมัด ดือราแม
ศูนย์ข่าวภาคใต้รายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |
https://prachatai.com/print/558 | 2004-09-30 21:23 | "ทักษิณ" เคลียร์ปมตั้งประธานพอช. | กรุงเทพฯ-30ก.ย.47 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีระบุว่า เตรียมเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งประธานสถาบันองค์กรพัฒนาชุมชน(พอช.) มาหารือถึงประเด็นข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเยี่ยม นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตประธานพอช. ที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยระบุว่า เข้าเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ และขอให้มีสุขภาพแข็งแรง
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า ทุกฝ่ายควรต้องหันหน้าเข้าหากัน อย่างไรก็ดีผู้ที่จะมาเป็นประธานกรรมการ พอช. ต้องเป็นคนที่ชุมชนพึงพอใจ รวมถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เอกปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนำกฎหมายเข้ามาดูแลจัดการองค์กรมหาชนนั้น ก็ต้องถามความเห็นชองชุมชนด้วยเช่นกัน
ประชาไทรายงาน
| ['ข่าว', 'สิ่งแวดล้อม'] |