en
stringlengths
9
458
th
stringlengths
13
451
The WHO validation programme for iTFA elimination recognizes those countries which went beyond introducing best practice policies by ensuring rigorous monitoring and enforcement systems in place
องค์การอนามัยโลกได้ดำเนินโครงการให้การรับรองการดำเนินการในการกำจัด iTFA เพื่อเป็นการยกย่องประเทศที่ดำเนินการอย่างครอบคลุมทั้งการมีนโยบายและวิธีปฎิบัติที่ดีที่สุด มีระบบการติดตาม เฝ้าระวัง และการบังคับกฎหมายที่เข้มงวด
Monitoring and enforcing compliance with policies is critical to maximizing and sustaining the health benefits of iTFA elimination
เนื่องจากการติดตามและบังคับใช้นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของนโยบายกำจัดไขมันทรานส์ได้มากที่สุด
Best practices in iTFA elimination policies follow WHO criteria and limit iTFA use in all settings
วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดของนโยบายการกำจัด iTFA เป็นไปตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก และต้องมีการจำกัดการใช้ iTFA ในทุกๆ แหล่ง
There are two best-practice policy options: 1) mandatory national limit of 2 grams of iTFA per 100 grams of total fat in all foods; and 2) mandatory national ban on the production or use of partially hydrogenated oils (a major source of trans fat) as an ingredient in all foods
ทั้งนี้ วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดมีสองทางเลือก ได้แก่ 1) การบังคับใช้นโยบายระดับประเทศโดยกำหนดเพดานปริมาณ iTFA ให้ไม่เกิน 2 กรัมต่อไขมันทั้งหมด 100 กรัมในอาหารทุกประเภท และ 2) การบังคับใช้นโยบายระดับประเทศโดยห้ามผลิตหรือใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (แหล่งสำคัญของไขมันทรานส์) เป็นส่วนผสมในอาหารทุกประเภท
For some countries, an optimal programme would implement both policies, due to the sources of trans fat
ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละประเทศมีแหล่งที่มาของไขมันทรานส์ที่ต่างกัน ดังนั้นบางประเทศอาจมีความเหมาะสมที่จะใช้ทั้งสองแนวทาง
"Trans fat elimination is economically, politically, and technically feasible and saves lives at virtually no cost to governments or consumers
"การกำจัดไขมันทรานส์นั้นมีความเป็นไปได้ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และทางเทคโนโลยี ซึ่งช่วยรักษาชีวิตของประชากรได้โดยไม่ได้สร้างภาระต่อรัฐบาลหรือผู้บริโภค
This harmful compound is unnecessary, and no one misses it when it's gone," said Dr Tom Frieden, President and CEO of Resolve to Save Lives
ไขมันทรานส์นี้ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น และไม่มีใครสูญเสียอะไรไปเมื่อกำจัดมันไปแล้ว" นายแพทย์ ทอม ฟรีเดน ประธานและซีอีโอของ Resolve to Save Lives กล่าว
"We are winning the battle against trans fat, but countries without regulations are at risk of becoming dumping grounds for TFA products
"เรากำลังชนะการต่อสู้กับไขมันทรานส์ แต่ประเทศที่ยังไม่มีกฎระเบียบมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นประเทศที่ต้องรองรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันทรานส์
Governments and the food industry have a responsibility to ensure that doesn't happen.
ดังนั้นรัฐบาลและอุตสาหกรรมอาหารมีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น"
WHO also encourages food manufacturers—the producers of raw materials and final food products—to eliminate iTFA from their products
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังสนับสนุนให้ผู้ผลิตอาหาร (เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน) ยกเลิกการใช้ iTFA ในผลิตภัณฑ์อาหารของตน
The food industry has made good progress so far, as presented in aNovember 2023 WHO report
ในปัจจุบันพบว่าอุตสาหกรรมอาหารมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานดังกล่าว ดังที่นำเสนอในรายงานขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566
Despite recent successes in eliminating iTFA from food globally, over half of the world's population remain unprotected from its harmful impacts, thus putting them at a potential risk of increasing heart disease
แม้ว่าในปัจจุบัน เรามีความสำเร็จในการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอาหารในระดับโลก แต่ประชากรโลกมากกว่าครึ่งยังคงไม่ได้รับการปกป้องจากผลกระทบที่เป็นอันตรายของมัน จึงทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
While countries should continue to strive for total elimination of iTFA, based on what has been achieved in the 5 years since the global call for elimination, WHO proposes a revised new target for virtual elimination of iTFA globally by 2025
ประเทศต่างๆ ควรพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัด iTFA ให้หมดไป ทั้งนี้ หากพิจารณาจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีข้อเรียกร้องให้กำจัด iTFA ทั่วโลก องค์การอนามัยโลกขอเสนอเป้าหมายใหม่สำหรับการกำจัด iTFA ทั่วโลกภายในปี 2568
The target includes
ซึ่ง เป้าหมายที่มีการปรับนั้นประกอบด้วย
best-practice elimination policies are passed in countries that account for at least 90% of the total global iTFA burden
นโยบายและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการกำจัด iTFA นั้นมีการบังคับใช้ในระดับประเทศอย่างน้อย ร้อยละ 90 ของความสูญเสียที่เกิดจาก iTFA ในระดับโลก
best practice policies are passed in countries that account for at least 70% of the total burden within regions
นโยบายแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการกำจัด iTFA นั้นมีการบังคับใช้ในระดับประเทศอย่างน้อย ร้อยละ 70 ของความสูญเสียที่เกิดจาก iTFA ในระดับภูมิภาค
Eliminating iTFA is a powerful way to prevent heart disease and the high costs to individuals and economies in medical treatment and lost productivity
การกำจัด iTFA เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และความสูญเสียทั้งเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจจากค่ารักษาพยาบาลและการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน
WHO remains committed to supporting countries in their efforts and celebrating their achievements
องค์การอนามัยโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศต่างๆ ในความพยายาม และแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของประเทศเหล่านั้น
The next application cycle for the iTFA elimination validation programme will open in March 2024 and applications will be received on a continued basis
โครงการรับรองการดำเนินการระดับประเทศในการกำจัด iTFA รอบต่อไป จะเปิดรับในเดือนมีนาคม 2024 และจะเปิดรับสมัครอย่างต่อเนื่องในปีถัดไป
Uniting for Mental Health: Providing Safe Spaces for Youth through 'What's This Feeling?' Campaig
รวมพลังด้านสุขภาพจิต: มอบพื้นที่ปลอดภัยให้กับเยาวชนผ่านแคมเปญ 'ความรู้สึกนี้คืออะไร'
BANGKOK, Thailand - On 3 October 2023
กรุงเทพฯ ประเทศไทย - เมื่อวันที่ 3ตุลาคม 2566
The Nook by Love Frankie, a community-driven social enterprise that provides a safe space for those seeking mental health support and resources, launched a new campaign called"What's This Feeling?" (#WTFeeling
The Nook by Love Frankieกิจการเพื่อสังคมที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนซึ่งมอบพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและสนับสนุนทรัพยากรด้านสุขภาพจิต ได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ชื่อ "What's This Feeling?" (#WTFeeling)
in partnership with the United Nations (UN) Thailand, World Health Organization (WHO) Thailand, and the Department of Mental Health, Ministry of Public Health Thailand (MoPH)
ร่วมกับองค์การสหประชาชาติ (UN)ประเทศไทย องค์การอนามัยโลก (WHO)ประเทศไทย และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย (MoPH)
It was attended by about 40 members of the press and interested public
มีสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมประมาณ 40คน
The event was held in Bangkok ahead of the WHO's World Mental Health Day on October 10
งานนี้จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ก่อนวันสุขภาพจิตโลกของ WHOในวันที่ 10ตุลาคม
The campaign aims to address and provide an online safe space in response to the increasing mental health issues among Thai youth
แคมเปญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการและจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยทางออนไลน์เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นในหมู่เยาวชนไทย
as about eight in ten Thais have experienced mental health issues worsened by the aftermath of COVID-19
เนื่องจากคนไทยประมาณ 8ใน 10คนประสบปัญหาสุขภาพจิตที่เลวร้ายลงจากผลพวงของโควิด-19
Dr. Terdsak Detkong, Director of the Office of International Affairs, Department of Mental Health, MoPH, shared that Thai youths (under 20 years old) are 4-5 times more vulnerable than the general population to the risk of stress, depression, suicide, and burnout
นพ.เทิดศักดิ์ เดชคง ผู้อำนวยการสำนักวิเทศสัมพันธ์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เยาวชนไทย (อายุต่ำกว่า 20ปี) มีความเสี่ยงต่อความเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และความเหนื่อยหน่าย มากกว่าคนทั่วไปถึง 4-5เท่า
Dr. Olivia Nieveras, Medical Officer for Non-Communicable Disease, WHO Thailand, reinforced the global view that mental health is a fundamental human right, and everyone deserves the highest possible attainable standard of both physical and mental health well-being
ดร. โอลิเวีย นีเวรัส เจ้าหน้าที่การแพทย์ด้านโรคไม่ติดต่อ องค์การอนามัยโลก ประเทศไทย ตอกย้ำมุมมองทั่วโลกว่าสุขภาพจิตเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และทุกคนสมควรได้รับมาตรฐานสูงสุดที่เป็นไปได้ทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต
During the COVID-19 pandemic, Mr. Amornthep Sachamuneewongse, the CEO and founder of Sati App, launched a free smartphone application offering on-demand listening services
ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19นายอมรเทพ สัจจามุนีวงศ์ CEOและผู้ก่อตั้ง Sati Appได้เปิดตัวแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนที่ให้บริการฟังฟรีที่ขึ้นกับความต้องการ
This digital social enterprise is part of his innovative approach to leverage technology and digital platforms in supporting mental health education
กิจการเพื่อสังคมดิจิทัลนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางนวัตกรรมของในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสนับสนุนการศึกษาด้านสุขภาพจิต
Mr Amornthep shared valuable insights gained from the app's role in enhancing mental health awareness among young Thais
คุณอมรเทพแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าที่ได้รับจากบทบาทของแอปฯ ในการเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพจิตให้กับเยาวชนไทย
To further advance the campaign's aim, The Nook will show a vodcast series hosted by Thai famous psychotherapist and artist Pataradanai (Koen) Setsuwanon World Mental Health Day
เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของแคมเปญ The Nookจะแสดงซีรีส์ภาพเคลื่อนไหวและเสียง ที่จัดโดยนักจิตบำบัดชื่อดังของไทยและศิลปิน คุณ เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก
This series is a pivotal element of the campaign's strategy to encourage open conversations about mental health, aiming to tackle associated stigmas and provide support to those in need
ซีรีส์นี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ของแคมเปญเพื่อส่งเสริมการสนทนาอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับประสบการณ์เชิงลบที่เกี่ยวข้อง และให้การสนับสนุนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
(L-R) Dr. Olivia Nieveras, Ms. Sorracha Soponnitid, Dr. Terdsak Detkong, and Mr. Amornthep Sachamuneewongse discuss Thai youth mental health at the "What's This Feeling?" launch
(จากซ้ายไปขวา) ดร.โอลิเวีย นีเวรัส คุณศรชา โสภณนิธิศ ดร.เทอดศักดิ์ เดชคง และคุณอมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ พูดคุยเรื่องสุขภาพจิตของเยาวชนไทย ในงาน "ความรู้สึกนี้คืออะไร" ปล่อย
Pataradanai (Koen) Setsuwan introduces a vodcast for mental health support
ภัทรดนัย (เขื่อน) เสตสุวรรณ แนะนำภาพเคลื่อนไหวและเสียง เพื่อสุขภาพจิต
The partnership among the UN, WHO, MoPH, and Love Frankie is designed to combine resources and expertise
ความร่วมมือระหว่างองค์การสหประชาชาติ,องค์การอนามัยโลก,กระทรวงสาธารณสุขและLOVE FRANKIE (เลิฟ แฟรงกี้)ได้รับการออกแบบมาเพื่อรวมทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเข้าด้วยกัน
Each organization plays a specific role, contributing to a comprehensive approach to address the mental health concerns of Thai youth communities
แต่ละองค์กรมีบทบาทเฉพาะในการสนับสนุนแนวทางที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของชุมชนเยาวชนไทย
"WHO is committed to addressing youth mental health, working with the UN and other partners, to improve access to services without discrimination, combat stigma, reduce risk behaviors through evidence-based guidelines and tools," said Dr. Olivia
"องค์การอนามัยโลกมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตของเยาวชน โดยทำงานร่วมกับสหประชาชาติและพันธมิตรอื่นๆ เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงบริการโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ต่อสู้กับการตีตรา ลดพฤติกรรมเสี่ยงผ่านแนวปฏิบัติและเครื่องมือที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์" ดร. โอลิเวีย กล่าว
Ban smoking and vaping in school to protect young people
ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนเพื่อปกป้องเยาวชน
On September 26 2023, the World Health Organization released two new publications
เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566 องค์การอนามัยโลกได้เผยแพร่เอกสารแนวทางใหม่ 2 ฉบับ
"Freedom from tobacco and nicotine: guide for schools," and "Nicotine- and tobacco-free school toolkit
ได้แก่ "คู่มือสำหรับโรงเรียนปลอดนิโคตินและยาสูบ" และ "ชุดเครื่องมือสำหรับโรงเรียนปลอดนิโคตินและยาสูบ"
to help protect children's health just in time for back-to-school season in many countries
เพื่อช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กนักเรียนก่อนจะเปิดเทอมในหลายประเทศ
The tobacco industry relentlessly targets young people with tobacco and nicotine product
อุตสาหกรรมยาสูบมุ่งเป้าไปที่คนหนุ่มสาวอย่างไม่ลดละด้วยการขายผลิตภัณฑ์ยาสูบและนิโคติน
resulting in e-cigarette use increasing and 9 out of 10 smokers starting before the age of 18
ส่งผลให้มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และผู้สูบบุหรี่ 9 ใน 10 รายนั้นเริ่มสูบก่อนอายุ 18 ปี
Products have also been made more affordable for young people through the sale of single-use cigarettes and e-cigarettes, which typically lack health warnings
นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังมีราคาถูกลงสำหรับเยาวชน โดยการขายบุหรี่แบบใช้ครั้งเดียว และบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งโดยทั่วไปไม่มีคำเตือนเรื่องสุขภาพ
Regulators in the US last month warned companies to stop selling illegal e-cigarettes that appeal to youth by resembling school supplies, cartoon characters, and even teddy bears
เมื่อเดือนที่แล้วหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา เตือนบริษัทต่างๆ ให้หยุดขายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายที่ดึงดูดเยาวชน ด้วยการผลิตให้มีลักษณะคล้ายอุปกรณ์การเรียน ตัวการ์ตูน และแม้แต่ตุ๊กตาหมี
"Whether sitting in class, playing games outside or waiting at the school bus stop, we must protect young people from deadly second-hand smoke and toxic e-cigarette emissions as well as ads promoting these products," said Dr Ruediger Krech, Director of Health Promotion, World Health Organization
"ไม่ว่าจะนั่งในชั้นเรียน เล่นเกมข้างนอกโรงเรียน หรือนั่งรอที่ป้ายรถโรงเรียน เราต้องปกป้องเด็กและคนหนุ่มสาวจากควันบุหรี่มือสองและบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นพิษ รวมถึงโฆษณาที่โปรโมตผลิตภัณฑ์เหล่านี้" กล่าวโดย ดร. รูดิเกอร์ เครช ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ, องค์การอนามัยโลก
The new guide and toolkit are step by step manuals for schools to create nicotine- and tobacco-free campuses
คู่มือและชุดเครื่องมือใหม่นี้ เป็นเอกสารที่ให้รายละเอียดของขั้นตอนสำหรับโรงเรียนในการสร้างโรงเรียนปลอดสารนิโคตินและยาสูบ
but it takes a "whole of school" approach – which includes teachers, staff, students, parents, etc
แต่ทั้งนี้ต้องใช้แนวทาง "บูรณาการความร่วมมือทั้งโรงเรียน" เพื่อการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งรวมถึงครู เจ้าหน้าที่ นักเรียน ผู้ปกครอง ฯลฯ
The guide and toolkit include topics on how to support students to quit, education campaigns, implementing policies and how to enforce them
คู่มือและชุดเครื่องมือประกอบด้วยหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการสนับสนุนให้นักเรียนเลิกสูบ การรณรงค์ให้ความรู้ การใช้นโยบาย และวิธีการบังคับใช้
The guide highlights four ways to foster a nicotine- and tobacco-free environment for young people
คู่มือนี้เน้นสี่วิธีในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปราศจากนิโคตินและยาสูบสำหรับเยาวชน
banning nicotine and tobacco products on school campuses
ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินและยาสูบในบริเวณโรงเรียน
prohibiting the sale of nicotine and tobacco products near schools
ห้ามขายผลิตภัณฑ์นิโคตินและยาสูบใกล้โรงเรียน
banning direct and indirect ads and promotion of nicotine and tobacco products near schools; and
ห้ามโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อมและห้ามส่งเสริมผลิตภัณฑ์นิโคตินและยาสูบใกล้โรงเรียน และ
refusing sponsorship or engagement with tobacco and nicotine industries
ปฏิเสธการสนับสนุนหรือการมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมยาสูบและนิโคติน
Countries worldwide were highlighted in the publication as having successfully implemented policies that support tobacco and nicotine free campuses including
ในคู่มือยังมีตัวอย่างจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายโรงเรียนปลอดยาสูบและนิโคติน ได้แก่
India, Indonesia, Ireland, Kyrgyzstan, Morocco, Qatar, Syria, Saudi Arabia, and Ukraine
อินเดีย อินโดนีเซีย ไอร์แลนด์ คีร์กีซสถาน โมร็อกโก กาตาร์ ซีเรีย ซาอุดีอาระเบีย และยูเครน อีกด้วย
The new WHO guide can help create nicotine- and tobacco-free schools that help keep kids healthy and safe
คู่มือขององค์การอนามัยโลกฉบับใหม่นี้สามารถช่วยสร้างโรงเรียนปลอดสารนิโคตินและยาสูบที่จะช่วยให้เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรงและปลอดภัย
Nicotine- and tobacco-free policies help to prevent young people from starting to smoke; create a healthier, more productive student body; protect youth from toxic chemicals in second-hand smoke; reduce cigarette litter; and cut cleaning costs
นโยบายโรงเรียนปลอดสารนิโคตินและยาสูบจะช่วยป้องกันเยาวชนจากการเริ่มสูบบุหรี่ ทำให้นักเรียนมีสุขภาพดีขึ้น ปกป้องเยาวชนจากสารเคมีที่มีพิษในควันบุหรี่มือสอง ลดขยะจากบุหรี่ และลดค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด
To protect people's health, WHO encourages all countries to make all indoor public places completely smoke-free in line with Article 8 of the WHO Framework Convention on Tobacco Control
เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน องค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้ทุกประเทศกำหนดให้สถานที่สาธารณะทั้งหมดเป็นเขตปลอดบุหรี่โดยสมบูรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 8 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก
Read more
อ่านเพิ่มเติม
First WHO report details devastating impact of hypertension and ways to stop it
ครั้งแรกที่องค์การอนามัยโลกนำเสนอรายงานของผลกระทบอันร้ายแรงจากโรคความดันโลหิตสูงและวิธีหยุดยั้งโรคนี้
The World Health Organization (WHO) released its first-ever report on the devastating global impact of high blood pressure, along with recommendations on the ways to win the race against this silent killer
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยแพร่รายงานฉบับแรกเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงจากโรคความดันโลหิตสูง ตลอดจนข้อเสนอแนะในการพิชิตฆาตกรเงียบนี้
The report shows approximately 4 out of every 5 people with hypertension are not adequately treated, but if countries can scale up coverage, 76 million deaths could be averted between 2023 and 2050
รายงานระบุว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 4 ใน 5 รายไม่ได้รับการดูแลรักษาเพียงพอ แต่หากประเทศต่างๆ สามารถยกระดับความครอบคลุมของการรักษา เราจะสามารถหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของประชากรได้ถึงจำนวน 76 ล้านราย ในช่วงปี พ.ศ. 2573-2593
Hypertension affects 1 in 3 adults worldwide
ผู้ใหญ่ 1 ใน 3 คนทั่วโลกมีภาวะความดันโลหิตสูง
This common, deadly condition leads to stroke, heart attack, heart failure, kidney damage and many other health problems
ภาวะที่พบได้ทั่วไปแต่อันตรายถึงชีวิตนี้ นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวายและปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ
The number of people living with hypertension (blood pressure of 140/90 mmHg or higher or taking medication for hypertension) doubled between 1990 and 2019, from 650 million to 1.3 billion
จำนวนผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง (มีความดันโลหิต 140/90 มิลเมตรปรอท หรือสูงกว่านั้น หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตเป็นประจำ) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าระหว่างปีพ.ศ. 2533 และ 2562 จาก 650 ล้านราย เป็น 1.3 พันล้านราย
Nearly half of people with hypertension globally are currently unaware of their condition
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงทั่วโลกไม่ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของตน
More than three-quarters of adults with hypertension live in low- and middle-income countries
และมากกว่าสามในสี่ของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงอาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
Older age and genetics can increase the risk of having high blood pressure, but modifiable risk factors such as eating high-salt diet, not being physically active and drinking too much alcohol can also increase the risk of hypertension
อายุที่มากขึ้นและกรรมพันธุ์อาจเพิ่มความเสี่ยงของการมีความดันโลหิตสูง แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง การไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงได้
Lifestyle changes like eating a healthier diet, quitting tobacco and being more active can help lower blood pressure
การเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น การเลิกบุหรี่และการมีกิจกรรมทางกายมากขึ้น สามารถลดความดันโลหิตได้
Some people may need medicines that can control hypertension effectively and prevent related complications
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้ยาเพื่อคุมความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง
The prevention, early detection and effective management of hypertension are among the most cost-effective interventions in health care and should be prioritized by countries as part of their national health benefit package offered at a primary care level
การป้องกัน การตรวจพบตั้งแต่แรกเริ่ม และดูแลควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นมาตรการที่คุ้มค่าที่สุดในการให้บริการสุขภาพ และควรได้รับความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ และควรเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่มีในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ
The economic benefits of improved hypertension treat­ment programmes outweigh the costs by about 18 to 1
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการพัฒนาประสิทธิภาพในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั้นมีมากกว่าค่าใช้จ่ายถึงประมาณ 18 เท่า
"Hypertension can be controlled effectively with simple, low-cost medication regimens, and yet only about one in five people with hypertension have controlled it." Said Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus, WHO Director-General
"เราสามารถควบคุมความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการใช้ยาสามัญและราคาไม่สูง แต่กลับมีผู้ป่วยเพียง 1 ใน 5 รายที่สามารถควบคุมความดันได้" นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าว
"Hypertension control programmes remain neglected, under-prioritized and vastly underfunded
"แผนงานการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงยังคงถูกละเลย ไม่ได้รับความสำคัญ และโดยมากขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่อง
Strengthening hypertension control must be part of every country's journey towards universal health coverage, based on well-functioning, equitable and resilient health systems, built on a foundation of primary health care.
การเสริมสร้างการควบคุมความดันโลหิตสูงควรจะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่ประกันสุขภาพถ้วนหน้าของแต่ละประเทศ โดยมีพื้นฐานมาจากระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียมและยืดหยุ่นได้ ตลอดจนต่อยอดมาจากบริการสุขภาพปฐมภูมิ"
The report is being launched during the 78thSession of the United Nations General Assembly which addresses progress for the Sustainable Development Goals including health goals on pandemic preparedness and response, ending tuberculosis and attaining Universal Health Coverage
รายงานนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติครั้งที่ 78 ซึ่งกล่าวถึงความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่รวมถึงเป้าหมายด้านสุขภาพในการเตรียมความพร้อมรับมือและตอบสนองกับโรคระบาด การยุติวัณโรคและการบรรลุเป้าหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า
Better prevention and control of hypertension will be essential to progress in all of these
การป้องกันและควบคุมโรคความดันโลหิตสูงที่ได้รับการยกระดับให้ดีขึ้นจะเป็นส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่กล่าวมานี้
An increase in the number of patients effectively treated for hypertension to levels observed in high-performing countries could prevent 76 million deaths, 120 million strokes, 79 million heart attacks, and 17 million cases of heart failure between now and 2050
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาและควบคุมความดันโลหิตสูงจนถึงระดับที่พบได้ในประเทศที่ประสิทธิภาพการรักษาโรคความดันโลหิตสูงอยู่ในระดับสูง จะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 76 ล้านราย ป้องกันอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 120 ล้านครั้ง ป้องกันหัวใจวาย 79 ล้านครั้ง และป้องกันหัวใจล้มเหลวได้ถึง 17 ล้านครั้งในช่วงระหว่างปีนี้ จนถึงถึงปี พ.ศ. 2593
"Most heart attacks and strokes in the world today can be prevented with affordable, safe, accessible medicines and other interventions, such as sodium reduction," said Michael R. Bloomberg, WHO Global Ambassador for Noncommunicable Diseases and Injuries
"เราสามารถป้องกันการเกิดหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วยยาที่มีราคาไม่แพง ปลอดภัย และเข้าถึงได้ ตลอดจนการใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การลดการบริโภคโซเดียม" นายไมเคิล อาร์ บลูมเบิร์ก - ทูตขององค์การอนามัยโลกด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการบาดเจ็บกล่าว
"Treating hypertension through primary health care will save lives, while also saving billions of dollars a year.
"การรักษาโรคความดันโลหิตสูงผ่านทางหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิจะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ประหยัดงบประมาณกว่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี"
Hypertension can easily be treated with safe, widely available, low-cost generic medications using programmes such asHEARTS
โรคความดันโลหิตสูงรักษาได้โดยง่ายด้วยการใช้ยาที่ปลอดภัย มีแพร่หลายและราคาถูกภายใต้แผนงาน เช่น โครงการ HEARTS
WHO's HEARTS technical package for cardiovascular disease management in primary health care and theGuideline for the pharmacological treatment of hypertension in adultsprovide proven and practical steps to deliver effective hypertension care in primary health care settings
แนวทางHEARTSขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการจัดการโรคหลอดเลือดหัวใจในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ และแนวทางปฏิบัติด้านเภสัชวิทยาสำหรับการรักษาโรคความดันโลหิตสูงนำเสนอแนวทางที่พัฒนาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และนำไปใช้ได้จริงเพื่อจัดบริการดูแลผู้ป่วยในบริบทของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ
Effective community- and country-wide blood pressure management can be achieved in countries of all income levels
การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพในระดับชุมชนและระดับประเทศเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ไม่ว่าประเทศจะมีรายได้อยู่ในระดับใด
More than 40 low- and middle-income countries, including Bangladesh, Cuba, India and Sri Lanka, have strengthened their hypertension care with the HEARTS package, enrolling more than 17 million people into treatment programmes
ประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางกว่า 40 ประเทศ อาทิ บังคลาเทศ คิวบา อินเดียและศรีลังกาได้เสริมสร้างการให้บริการดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยแนวทาง HEARTS และมีการขี้นทะเบียนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงกว่า 17 ล้านรายเข้าสู่การรักษา
Countries such as Canada and South Korea delivered comprehensive national hypertension treatment programmes, and both countries surpassed the 50% mark for blood pressure control in adults living with hypertension
นอกจากนั้นประเทศ เช่น แคนาดาและเกาหลีใต้มีโครงการรักษาโรคความดันโลหิตสูงในระดับประเทศที่ครอบคลุมและทั้งสองประเทศได้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 50 ของการควบคุมความดันโลหิตสูงในผู้ใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงได้
Sustained, systematic national hypertension control programmes can succeed—and a high level of blood pressure control translates into fewer strokes and heart attacks, and longer, healthier lives
แผนงานควบคุมความดันโลหิตสูงในระดับประเทศที่มีความยั่งยืนและมีการดำเนินงานเป็นระบบ จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการควบคุมความดันโลหิต และจะทำให้มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวายลดน้อยลง และผู้ป่วยจะอายุยืนขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้นด้วย
The report underscores the importance of implementing WHO-recommended effective hypertension care to save lives, which include the following five components
รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานตามข้อเสนอการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีประสิทธิภาพขององค์การอนามัยโลก ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบห้าด้านดังนี้:
Protocol:practical dose- and drug-specific treatment protocols with specific action steps for managing uncontrolled blood pressure can streamline care and improve adherence
แนวทางการรักษาแนวทางการรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานของขนาดยาและยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง โดยมีขั้นตอนดำเนินการชัดเจนสำหรับการจัดการความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้การรักษามีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาต่อเนื่อง
Medication and equipment supply: regular, uninterrupted access to affordable medication is necessary for effective hypertension treatment; currently, prices for essential anti-hypertensive medicines vary by more than ten-fold between countries
ยาและเวชภัณฑ์การเข้าถึงยาได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันนี้ ราคายาที่จำเป็นสำหรับโรคความดันโลหิตสูงแตกต่างกันมากถึง 10 เท่าระหว่างประเทศต่างๆ
Team-based care: patient outcomes improve when a team collaborates to adjust and intensify blood pressure medication regimens per doctor orders and protocols
การดูแลผู้ป่วยเป็นทีมผลลัพธ์ของการรักษาผู้ป่วยจะดียิ่งขึ้นเมื่อทีมมีการประสานงานกันและปรับสูตรการให้ยาความดันโลหิตสูงตามที่แพทย์สั่งและตามแนวทางการรักษามาตรฐาน
Patient-centred services: to reduce barriers to care by providing easy-to-take medication regimens, free medications and close-to-home follow-up visits, and making blood pressure monitoring readily available
การให้บริการแบบมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางเพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาโดยการจ่ายยาตามสูตรการรักพยาบาลที่รับประทานง่าย ยาที่มีการจ่ายฟรี และการนัดติดตามอาการใกล้บ้านและทำให้การติดตามและรักษาโรคความดันโลหิตสูงสามารถเข้าถึงได้สะดวกในทุกที่
Information systems: user-centred, simple information systems facilitate rapid recording of essential patient-level data, reduce health care worker data entry burden, and support rapid scale-up while maintaining or improving the quality of care
ระบบข้อมูลที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ซึ่งสามารถเอื้อให้มีการบันทึกข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการป้อนข้อมูลและสนับสนุนการยกระดับการปฎิบัติงานได้โดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพของการรักษาพยาบาล
"Every hour, more than 1 000 people die from strokes and heart attacks. Most of these deaths are caused by high blood pressure, and most could have been prevented," said Dr Tom Frieden, President & CEO, Resolve to Save Lives
"ทุกชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวาย ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง และในหลายกรณีสามารถป้องกันได้" ดร.ทอม ฟรีเดน ประธานและ กรรมการบริหาร Resolve to Save Lives กล่าว
"Good hypertension care is affordable, within reach, and strengthens primary health care. The challenge now is to go from "within reach" to "reached." This will require commitment of governments around the world.
"การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นสิ่งที่ไม่ได้แพง และเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ ความท้าทายคือเราจะก้าวต่อไปอย่างไรจากจุดที่ 'เข้าถึงผู้ป่วยในปัจจุบัน' ไปถึง 'การเข้าถึงผู้ป่วยทุกราย' ซึ่งเจตจำนงมุ่งมั่นจากภาครัฐทุกประเทศทั่วโลกนั้นจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้"
Kick-Off Meeting for the 2nd Phase of UN Thematic Working Group on Non-Communicable Diseases in Thailand
การประชุมคณะทำงานด้านโรคไม่ติดต่อของสหประชาชาติในประเทศไทยระยะที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้น :
On 29 August 2023, at the UN Compound in Bangkok, a pivotal meeting was held to sustain the high-level commitment of the Ministry of Public Health (MoPH), the United Nations (UN) and partners in scaling up Thailand's response to the non-communicable diseases (NCDs) epidemic
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 มีการจัดการประชุมครั้งสำคัญ ณ ที่ทำการองค์การสหประชาชาติประจำกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานต่างๆ ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรภาคีด้านโรคไม่ติดต่อต่างๆ ในประเทศไทย ในการเพิ่มความเข้มแข็งของประเทศไทยในการจัดการกับโรคไม่ติดต่อ (NCDs)
This date is historically important as it marks exactly five years from the 2018 United Nations Interagency Task Force on NCDs (UNIATF) mission to Thailand
วันนี้ถือเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นวันครบรอบห้าปีนับจากภารกิจของคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ (UNIATF) ในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นในปี 2561